คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีมฤดกอันจะต้องบังคับตามกฎหมายอิสลามในเขตต์ 4 จังหวัดนั้น จะต้องมีดะโต๊ะยุตติธรรม 1 นาย นั่งพิจารณาพร้อมด้วยผู้พิพากษา โดยผู้พิพากษาวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ความอย่างไรแล้ว ให้ดะโต๊ะยุตติธรรมวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามและลงลายมือชื่อในคำพิพากษาด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทราคา ๕๐๐๐ บาทเป็นของตายายโจทก์เจ้ามฤดก ตกได้แก่โจทก์จำเลยและ ม. ซึ่งเป็นหลานตามกฎหมายกิตับ ศาสนาอิสลาม เพราะเจ้ามฤดก, โจทก์, จำเลย และ ม. เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม แต่ยังหาได้แบ่งปันกันไม่ คงปกครองร่วมกันมา ขอให้ศาลแบ่งเป็น ๕ ส่วน ให้ได้แก่โจทก์, จำเลยคนละ ๒ ส่วน ม. ได้ ๑ ส่วนตามกิตับศาสนาอิสลามจำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ และว่าบางแปลงจำเลยได้ขายให้แก่ผู้มีชื่อไปแล้ว ที่พิพาทไม่ใช่มฤดก แม้เป็นมฤดกโจทก์ฟ้องเกิน ๑ ปี คดีขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่พิพาทเป็นของบิดามารดาจำเลยยกให้จำเลยครอบครองมา ๒๐ ปีเศษ พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า เป็นที่ดินมฤดกอันต้องแบ่งปันกัน และจำเลยมิได้คัดค้านข้อที่โจทก์อ้างว่าจะต้องบังคับตามกฎหมายอิสลาม ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น หาได้ฟังว่าเป็นคดีมฤดกไม่ จึงมิได้ปรับคดีด้วยกฎข้อบังคับสำหรับปกครองบริเวณเจ็ดหัวเมือง ร.ศ. ๑๒๐ และ พ.ร.บ.ใช้กฎหมายอิสลามในเขตต์ ๔ จังหวัด ๒๔๘๙ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นซึ่งมีดะโต๊ะยุตติธรรม ๑ นายนั่งพิจารณาพร้อมด้วยผู้พิพากษามาแล้วนั้น พิพากษาคดีเสียใหม่ โดยให้ดะโต๊ะยุตติธรรมวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามและลงลายมือชื่อในคำพิพากษาตามนัย มาตรา ๔ พ.ร.บ.ใช้กฎหมายอิสลามในเขตต์ ๔ จังหวัด ๒๔๘๙ โดยถือตามข้อเท็จจริงซึ่งฟังว่า ที่วิวาท ๔ แปลงเป็นมฤดกปกครองร่วมกันมาระหว่างโจทก์จำเลย ซึ่งยังมิได้แบ่งปันกันนั้น จะบังคับตามคำขอของโจทก์ได้เพียงไรหรือไม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเห็นพ้องตามศาลอุทธรณ์
พิพากษายืน

Share