แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นหนี้ตามคำพิพากษา 6,250 บาท โจทก์นำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด จำเลยร้องว่า ได้ชำระหนี้แก่โจทก์นอกศาลแล้ว 5,250 บาท จะขอชำระส่วนที่ยังค้างและขอให้ศาลสั่งถอนการยึดโจทก์แถลงคัดค้านว่าได้รับเงินจากจำเลยนอกศาลเพียง 400 บาทเท่านั้น เมื่อโจทก์ปฏิเสธดังนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยต้องไปว่ากล่าวกับโจทก์เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จะยกมาเป็นเหตุไม่ให้ศาลดำเนินการบังคับคดีต่อไปหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาจำนวน ๖,๒๕๐ บาท จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลว่า จำเลยได้ชำระเงินแก่โจทก์แล้ว ๕,๒๕๐ บาท ดังสำเนาใบรับเงินท้ายคำร้อง ยังค้างอีกเพียง ๑,๐๐๐ บาท จำเลยขอชำระเงินที่ค้าง ๑,๐๐๐ บาท และขอให้ศาลสั่งถอนการยึดทรัพย์
ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ๆ แถลงว่าได้รับเงินจากจำเลยเพียง ๔๐๐ บาทเท่านั้น และได้ทำใบรับเงินให้ไว้เป็นจำนวนเพียง ๔๐๐ บาท ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับว่าได้รับเงินตามที่จำเลยอ้าง ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา เพราะข้อเท็จจริงยังฟังเป็นยุติไม่ได้ ให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป ส่วนจำเลยจะติดใจว่าได้ชำระเงินให้โจทก์แล้วตามใบรับ ก็ชอบที่จะดำเนินคดีต่างหาก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ยอมรับว่าได้รับเงินหรือทำใบรับเงินตามจำนวนที่จำเลยกล่าวอ้าง จึงเป็นเรื่องที่จำเลยต้องไปว่ากล่าวกับโจทก์เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จำเลยจะอ้างใบรับเงินที่ทำกันนอกศาลซึ่งโจทก์ปฏิเสธมาเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีหาได้ไม่ พิพากษายืน