คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5241/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่คู่ความแต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 นั้นเป็นการแต่งตั้งตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 15ว่าด้วยตัวแทน เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นตัวการถึงแก่กรรม สัญญาตัวแทนย่อมระงับไปทนายโจทก์คงมีอำนาจและหน้าที่จัดการดำเนินคดีเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของโจทก์ต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 828 จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของโจทก์จะอาจเข้ามาปกปักรักษาประโยชน์ของโจทก์ อำนาจทนายโจทก์หาได้หมดสิ้นไปทันทีเมื่อโจทก์ถึงแก่กรรมไม่ ทนายโจทก์มีอำนาจลงนามเป็นผู้ฎีกาแทนโจทก์ได้แต่เมื่อครบกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ที่ปรากฏต่อศาลว่าโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว ไม่มีผู้ใดยื่นคำขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,500,000 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยให้การว่า จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,500,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีแก่โจทก์ นับแต่วันที่ 13กันยายน 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกนั้นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาว่าฎีกาของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยแก้ฎีกาว่า โจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 30 เมษายน2534 นางสร้อยไข่ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทน ไม่ได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ นายศิริชัยทนายโจทก์เป็นเพียงตัวแทนช่วงของตัวความคือโจทก์ อำนาจของตัวแทนและตัวแทนช่วงย่อมสิ้นสุดลงเมื่อโจทก์ถึงแก่กรรม นายศิริชัยทนายโจทก์มายื่นฎีกาภายหลังโจทก์ถึงแก่กรรม คำฟ้องฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้จากคำแถลงรับของนางสร้อยไข่ผู้รับมอบอำนาจโจทก์และทนายจำเลยในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาว่า โจทก์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2534 ขณะคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะ จนกระทั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทำคำพิพากษาและอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ฟังเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2535 นายศิริชัยทนายโจทก์ซึ่งผู้รับมอบอำนาจโจทก์แต่งตั้งให้เป็นทนายความเป็นผู้ยื่นฎีกาเมื่อวันที่27 เมษายน 2535 เห็นว่า การที่คู่ความแต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 60 นั้น เป็นการแต่งตั้งตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 15 ว่าด้วยตัวแทน ดังนั้น เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นตัวการถึงแก่กรรม สัญญาตัวแทนย่อมระงับไป ทนายโจทก์คงมีอำนาจและหน้าที่จัดการดำเนินคดีเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของโจทก์ต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของโจทก์จะอาจเข้ามาปกปักรักษาประโยชน์ของโจทก์ ทนายโจทก์ย่อมมีอำนาจที่จะรักษาประโยชน์ของตัวความไว้ได้ อำนาจทนายความหาได้หมดสิ้นไปทันที เมื่อโจทก์ถึงแก่กรรมไม่ ทนายโจทก์มีอำนาจลงนามเป็นผู้ฎีกาแทนโจทก์ได้เทียบเคียงนัยคำพิพากษาฎีกาที่1635/2520 ระหว่าง วัดจันทร์สโมสร โดยนายสวัสดิ์ รักวณิชย์ผู้รับมอบอำนาจ โจทก์ นายตงจุ่น แซ่โอว โดยนายอัมพรอนุตตรกุลวนิช ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน จำเลย ฎีกาของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแต่ความปรากฎต่อศาลฎีกาว่า เมื่อครบกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ที่ปรากฏต่อศาลว่าโจทก์ถึงแก่กรรมแล้วไม่มีผู้ใดยื่นคำขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์โดยไม่ปรากฏเหตุผลว่าเป็นเพราะเหตุใด ทั้งปรากฏตามมรณบัตรว่านางสร้อยไข่เป็นผู้แจ้งการตาย จึงเห็นสมควรให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42”
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความศาลฎีกา

Share