แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นลูกเลี้ยงผู้ตายอยู่เรือนเดียวกับผู้ตาย คืนเกิดเหตุจำเลยนอนเฝ้าเรือนอยู่คนเดียวที่ระเบียง ส่วนผู้ตายไปเที่ยว สัก 4 น. มีคนจะขึ้นมาบนเรือน จำเลยได้ร้องถามไปคนนั้นก็ไม่ตอบ
จำเลยสำคัญว่าเป็นคนร้ายจะขึ้นมาลักทรัพย์บนเรือนจึงตีไป 2 – 3 ที คนนั้นตกบันไดไป เอาตะเกียงมาส่องดูจึงรู้ว่าเป็นนายทองบิดาเลี้ยง ซึ่งเป็นที่รักของจำเลย จำเลยว่าถ้ารู้ว่าเป็นนายทองก็จะไม่ตี ดั่งนี้ เป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงและเป็นการป้องกันตัวและทรัพย์สมควรแก่เหตุ ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องไม่ลงโทษจำเลย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ เวลากลางคืน จำเลยได้ใช้ไม้ตะบองตีนายทอง ตุ้ยกลาง ตกจากเรือนโดย เจตนาจะฆ่าให้ตาย นายทองถึงแก่ความตายในวันนั้นเอง เหตุเกิดที่ตำบลพลสงคราม อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๔๙
จำเลยให้การรับว่าได้ทำร้ายนายทอง ตุ้มกลาง จริง แต่มิได้มีเจตนาจะฆ่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำการป้องกันตัวเกินสมควร มีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๔๙ – ๕๓ ให้จำคุก ๒ ปี จำเลยให้การรับสารภาพจึงปราณีลดให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๕๙ คงจำคุกจำเลย ๑ ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเมื่อคนขึ้นมาบนเรือนในเวลาวิกาล ซึ่งมีแต่จำเลยเป็นผู้ชายคนเดียวอยู่บนเรือน จำเลยได้ถามถึง ๒ ครั้งนายทองก็ไม่ตอบ ดังนี้เป็นภัยอันร้ายแรงถึงขนาดที่อาจต้องเสียชีวิตหรือทรัพย์สินได้ จำเลยได้ใช้ไม้ไผ่หรือตะบอง ตีไป ๓ ที ถือได้ว่าเป็นการป้องกันสมควรแก่เหตุแล้ว จำเลยไม่ควรต้องรับโทษ แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ขึ้นมา ศาลอุทธรณ์ย่อมทรงอำนาจที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อย จำเลยไป
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทำโดยเข้าใจผิด โดยเข้าใจว่านายทองเป็นคนร้ายขึ้นมาบนเรือนเพื่อลักทรัพย์ ได้ชื่อว่าสำคัญ ผิดในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายอาญา ม.๑๖๒ และการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันทรัพย์อันนับว่าสมควรแก่ เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๘ จำเลยจึงไม่ควรมีความผิด จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.