แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้ถือเช็ค ซึ่งจำเลยออกสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือโจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยได้ ในเมื่อธนาคารไม่จ่ายเงิน
การโอนเช็คสั่งจ่ายเงินแก่ผู้ถือไม่ต้องสลักหลัง เพียงแต่ส่งมอบเช็คแก่กันก็ใช้ได้
จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ได้เช็คมาโดยไม่สุจริตแต่ไม่ได้กล่าวว่าไม่สุจริตอย่างไร จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีอย่างรวบรัดว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ในฐานะผู้ทรงเช็คธนาคารไทยทนุ จำกัด เลขที่เอ.297163 ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 1954 (พ.ศ. 2497) จำนวนเงิน 50,000 บาท โดยจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2497 โจทก์นำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีธนาคารของโจทก์ ธนาคารของโจทก์ได้แจ้งให้ติดต่อกับผู้สั่งจ่าย โจทก์ได้ทวงถามขอรับเงินตามเช็คจากจำเลย จำเลยขอผัดผ่อนไม่มีที่สุด จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินตามเช็ค 50,000 บาท ให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องชำระเงินตามเช็คให้โจทก์ เพราะจำเลยไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์ โจทก์ไม่ใช่เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบกล่าวคือเดิมจำเลยกู้เงินนายพานิชเป็นเงิน 50,000 บาท และจำเลยออกเช็ครายพิพาทมอบให้นายพานิชยึดถือไว้เป็นหลักประกันเงินกู้หนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ จำเลยไม่เคยรู้จักโจทก์ ทั้งโจทก์ไม่เคยทวงถาม และแม้เช็ครายนี้จะอยู่ในมือโจทก์ โจทก์ก็ได้เช็คมาโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้องและร้องขอให้พิจารณาคดีอย่างคดีธรรมดาเพราะคดียุ่งยาก
ฝ่ายโจทก์อ้างเช็คพิพาทและเอกสารของธนาคารไทยทนุที่ส่งเช็คพิพาทคืนเป็นพยาน จำเลยรับว่าถูกต้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์ 50,000 บาท และให้เสียดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความแทนโจทก์เป็นเงิน 250 บาท ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจประชุมปรึกษาคดีเรื่องนี้แล้ว ทางพิจารณาโจทก์อ้างเช็คตามฟ้อง และเอกสารของธนาคารไทยทนุ จำกัด ที่ส่งเช็คคืนเป็นพยานต่อศาล ทนายจำเลยรับว่า เป็นเช็คที่โจทก์ฟ้อง จำเลยได้เซ็นสั่งจ่ายเงินตามเช็คนั้น และตราที่ประทับก็เป็นของบริษัทจำเลย เช็คฉบับนี้เป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ โจทก์นำเช็คนี้มาฟ้องในฐานะเป็นผู้ทรงเช็ค โจทก์ได้นำเช็คนี้ไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้ ปัญหามีว่าจำเลยจะต้องรับผิดชอบต่อโจทก์หรือไม่
เห็นว่า โจทก์เป็นผู้ถือเช็ครายนี้ ย่อมถือว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค จำเลยเป็นผู้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ทรงเช็คย่อมมีหน้าที่รับผิดชอบตามเช็คที่ตนได้ออกไป ซึ่งหมายความว่าจะให้ผู้ทรงเช็คได้รับเงินจำนวนในเช็ค เช็คเป็นตั๋วเงินหรือตั๋วเปลี่ยนมือ อันใช้เป็นประโยชน์ในการค้าไม่ใช่เป็นหนังสือหลักประกันหนี้ดังจำเลยให้การ ซึ่งจำเลยจะนำสืบไปในทำนองนั้นหาได้ไม่ ข้อที่ว่าโจทก์มิใช่เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบนั้น ฟังไม่ขึ้น ส่วนข้อที่จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ได้เช็คมาโดยไม่สุจริตนั้นจำเลยมิได้กล่าวเป็นประเด็นไว้ว่าไม่สุจริตโดยประการใด จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบได้ ส่วนข้อที่จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่ได้ทวงถามนั้น เช็คนี้มีวัน เดือน ปี สั่งให้จ่ายเงินเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วเมื่อโจทก์ไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ โดยไม่จำเป็นจะต้องทวงถามอีก ข้อที่จำเลยว่าเช็คจะต้องมีการเซ็นชื่อสลักหลัง จึงจะเปลี่ยนมือได้นั้น ศาลนี้เห็นว่าสำหรับคดีนี้ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะเช็คฉบับนี้ออกให้แก่ผู้ถือ เพียงแต่ผู้ถือมอบเช็คให้แก่โจทก์เท่านั้น ก็เป็นการโอนหรือเปลี่ยนมือให้แก่โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คนั้นโดยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นศาลทั้งสองพิพากษาไว้นั้นชอบแล้ว
จึงพิพากษายืนตาม ให้ยกฎีกาของจำเลย ให้จำเลยเสียค่าทนายชั้นศาลฎีกา 200 บาท ให้แก่โจทก์