คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามสัญญา จำเลยให้การรับว่า ได้กู้เงินโจทก์เป็นจำนวนตามสัญญากู้ที่ฟ้องนั้น จริง แต่ต่อสู้ว่า จำเลยได้รับเงืนไม่เต็มจำนวนเงินในเอกสารนั้น และจำเลยได้ชำระเงินกู้แก่โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว โดยเช็ค แต่โจทก์ไม่คืนเอกสารสัญญากู้ให้ โดยอ้างว่าทำลายหมดแล้วดังนี้ วินิจฉัยว่าจำเลยจะนำสืบแก้ไขเอกสารว่า ไม่ได้รับเงินเต็มตามจำนวนเงินในเอกสารไม่ได้ และจะนำสืบการใช้เงินนอกเหนือไปจากที่ ก.ม.บัญญัติไว้ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 653 วรรค 2 ไม่ได้

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามสัญญาจากจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้กู้ จำเลยที่ ๒ – ๓ – ๔ – ๕ ในฐานะผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ได้ทสัญญากู้เงินโจทก์ ๕๔๕๐๐ บาทจริง แต่โจทก์จ่ายเงินให้เพียง ๔๕,๔๔๕.๕๐ บาทเท่านั้น โดยหักไว้เป็นค่าอากรแสตมป์เสีย ๕๔.๕๐ บาท หักดอกเบี้นในอัตราร้อยละ ๓ ต่อเดือนในระยะ ๓ เดือนเป็นเงิน ๔๕๐๐ บาท และบวกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ไว้อีก ๓ เดือน เงิน ๔๕๐๐ บาท ซึ่งเป็นการผิดกฎหมาย และต่อมาจำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์โดยเช็ค ๔ ฉบับ ขอสัญญากู้คืนโจทก์ไม่คืนอ้างว่าได้ทำลายหมดแล้ว
จำเลยที่ ๒ – ๓ – ๔ – ๕ ต่อสู้ว่าจำเลยที่ ๑ ชำระเงินเสร็จแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา ตามคำฟ้องฎีกาหน้าต้นกล่าวถึงชื่อจำเลยทั้ง ๕ ขอยื่นฎีกา แต่มีจำเลยที่ ๑ ลงนามในท้ายฎีกาแต่ผู้เดียว ศาลฎีกาถือว่าจำเลยที่ ๑ ฎีกาแต่ผู้เดียว
ข้อเท็จจริงนั้นคงฟังตามศาลล่าง ส่วนข้อกฎหมายก็เห็นว่า จำเลยจะนำสืบแก้ไขเอกสารว่าไม่ได้รับเงินเต็มตามจำนวนเงินในเอกสารไม่ได้ และจะนำสืบการใช้เงินนอกเหนือไปจากที่กฎหมายบัญญัติไว้ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๖๕๓ วรรคสองไม่ได้ ให้ยกฎีกาจำเลยที่ ๑ เสีย ฯลฯ

Share