คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 999/2525

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การไฟฟ้านครหลวงโจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยพนักงานยักยอกไปคืนจากจำเลย เป็นการใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลที่ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 มิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหายโดยอาศัยมูลละเมิดจึงไม่อยู่ในบังคับอายุความตาม มาตรา 448 แต่มีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าขณะที่จำเลยเป็นหัวหน้าหมวดเก็บเงินค้างของโจทก์จำเลยได้ยักยอกเงินของโจทก์ไป จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์อันเนื่องมาจากความผิดอาญาฐานพนักงานองค์การของรัฐทุจริตยักยอกทรัพย์ขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 38,253.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยในข้อกฎหมายประการแรกตามฎีกาของโจทก์ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินจำนวน 38,253 บาท84 สตางค์ ที่จำเลยยักยอกไปคืนจากจำเลย เป็นการใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลที่ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือไว้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 มิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยอาศัยมูลละเมิด จึงไม่อยู่ในบังคับอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 แต่มีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ปรากฎว่าโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ระหว่างวันที่ 4 กุมภาพันธ์2517 ถึงวันที่ 7 ตุลาคม 2517 และยื่นฟ้องในวันที่ 28 เมษายน 2523ยังไม่เกิน 10 ปี คดีจึงไม่ขาดอายุความ ทั้งนี้ ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 2010/2515 ระหว่างนายสุธรรม ลี้โชติรส โจทก์ ร้อยตำรวจเอกสมชาย ประยูรรัตน์ กับพวก จำเลยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้ออื่น ๆ ที่จำเลยอุทธรณ์อีกหลายข้อ เห็นสมควรให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเสียก่อน

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นข้ออื่น ๆ ตามอุทธรณ์ของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา”

Share