คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9972/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลคดีก่อนพิพากษายกฟ้อง คำพิพากษาดังกล่าวผูกพันโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์ย่อมทราบนับแต่วันที่ศาลในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษาแล้วว่า ลายมือชื่อของผู้ทำสัญญาขอเช่าใช้บริการโทรศัพท์ตามฟ้องไม่ใช่ลายมือชื่อ ป. ผู้ขอใช้บริการ โจทก์ย่อมรู้ว่ามีการละเมิดเกิดขึ้นและรู้ว่าจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับคำขอเช่าใช้บริการโทรศัพท์ดังกล่าวน่าจะต้องรับผิดชอบ เป็นกรณีที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ศาลมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวแล้วจึงไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาในคดีดังกล่าว เมื่อนับถึงวันฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 42,169.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 31,785.32 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การในทำนองเดียวกันขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงฎีกาได้แต่ปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เดิมโจทก์ฟ้องนางสาวประภาพรเนื่องจากค้างชำระค่าบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ต่อมาศาลคดีดังกล่าวมีคำพิพากษายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่านางสาวประภาพรไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์และไม่ได้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ เอกสารที่ทำสัญญาขอเช่าใช้บริการโทรศัพท์ตามฟ้องมิใช่ลายมือชื่อนางสาวประภาพร โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้ให้รับผิดฐานละเมิด คดีที่โจทก์ฟ้องนางสาวประภาพรศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2545 ไม่มีการอุทธรณ์ฎีกา แต่โจทก์อ้างว่าทราบเหตุแห่งการละเมิดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2547 ซึ่งเป็นรายงานคดีและขออนุมัติฟ้อง เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว แม้คู่ความฝ่ายใดไม่มาศาลแต่ผลทางกฎหมายให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบผลของคำพิพากษาแล้ว เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาคดีก่อนอันเป็นมูลที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ในข้อหาละเมิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2545 จึงถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ศาลมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2547 พ้นกำหนด 1 ปีแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความ แต่อย่างไรก็ตามคงมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยว่า จะถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนนับแต่วันที่ศาลในคดีก่อนพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลคดีก่อนพิพากษายกฟ้อง คำพิพากษาดังกล่าวผูกพันโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์ย่อมทราบนับแต่วันที่ศาลในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษาแล้วว่า ลายมือชื่อของผู้ที่ทำสัญญาขอเช่าใช้บริการโทรศัพท์ตามฟ้องไม่ใช่ลายมือชื่อนางสาวประภาพรผู้ขอใช้บริการ โจทก์ย่อมรู้ว่ามีการละเมิดเกิดขึ้นและรู้ว่าจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับคำขอเช่าใช้บริการโทรศัพท์ดังกล่าวน่าจะต้องรับผิดชอบ อันเป็นกรณีที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ศาลมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวแล้ว จึงไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาในคดีดังกล่าว เมื่อนับถึงวันฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share