แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นโดยมีคำขอท้ายอุทธรณ์ให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลล่างทั้งสองรับรองให้โจทก์ร่วมฎีกา อุทธรณ์คำสั่งโจทก์ร่วมดังกล่าวจึงมิใช่อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์โจทก์ร่วม แต่เป็นอุทธรณ์คำสั่งในเรื่องที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่อนุญาตให้โจทก์ร่วมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาสั่งอุทธรณ์คำสั่งโจทก์ร่วมดังกล่าวตาม ป.วิ.อ. มาตรา 198 วรรคสอง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ร่วมโดยเห็นว่าโจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์คำสั่งหลังจากครบกำหนดแล้ว เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม กรณีเช่นนี้คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงเป็นที่สุดตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง โจทก์ร่วมยื่นฎีกาพร้อมคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 อนุญาตให้โจทก์ร่วมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่อนุญาตให้โจทก์ร่วมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ร่วม และแจ้งคำสั่งให้โจทก์ร่วมทราบ โจทก์ร่วมได้รับหมายนัดแจ้งคำสั่งดังกล่าวโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2557 ต่อมาในวันที่ 20 มีนาคม 2557 โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นมีกำหนด 30 วัน อ้างว่าโจทก์ร่วมย้ายภูมิลำเนา ศาลชั้นต้นอนุญาตถึงวันที่ 18 เมษายน 2557 เมื่อถึงวันดังกล่าวโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง วันที่ 26 พฤษภาคม 2557 โจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลล่างทั้งสองรับรองให้โจทก์ร่วมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การอนุญาตให้ฎีกาเป็นดุลพินิจเฉพาะตัว และเป็นอำนาจโดยแท้ของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษา คู่ความไม่ว่าฝ่ายใดไม่อาจใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งดังกล่าวได้ จึงไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ร่วมฉบับวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 เป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ร่วม ชอบที่ศาลชั้นต้นต้องส่งคำร้องเช่นว่านี้ไปยังศาลฎีกาพร้อมฎีกาและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 ไม่เป็นการควรที่ศาลชั้นต้นด่วนมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งฉบับนี้ แต่อย่างไรก็ดี ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ตรวจสำนวนโดยตลอดแล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ร่วมให้โจทก์ร่วมทราบโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2557 ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2557 โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์คำสั่งอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตถึงวันที่ 18 เมษายน 2557 ต่อมาวันที่ 18 เมษายน 2557 โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อไปอีก 30 วัน แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง หากโจทก์ร่วมเห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์คำสั่งฉบับลงวันที่ 18 เมษายน 2557 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ร่วมย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นได้ภายในกำหนด คือ วันที่ 18 พฤษภาคม 2557 แต่โจทก์ร่วมหาได้ทำการดังกล่าวแต่ประการใด กลับยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งในวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 หลังจากครบกำหนดแล้ว ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ร่วมชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 โจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นโดยมีคำขอท้ายอุทธรณ์ให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลล่างทั้งสองรับรองให้โจทก์ร่วมฎีกา ดังนี้ อุทธรณ์คำสั่งโจทก์ร่วมดังกล่าวจึงมิใช่อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์โจทก์ร่วม แต่เป็นอุทธรณ์คำสั่งในเรื่องที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่อนุญาตให้โจทก์ร่วมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาสั่งอุทธรณ์คำสั่งโจทก์ร่วมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 วรรคสอง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ร่วมโดยเห็นว่าโจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์คำสั่งหลังจากครบกำหนดแล้ว เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม กรณีเช่นนี้คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงเป็นที่สุดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม ต้องห้ามมิให้ฎีกา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วมจึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ร่วม