คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9935/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อ ช.กรรมการคชก.ตำบลลำโพเป็นบุตรของโจทก์ทั้งสอง ช. จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกรณีพิพาทรายนี้คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลลำโพ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 18 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ศาลมีอำนาจปฎิเสธไม่รับบังคับตามคำวินิจฉัยนั้นได้ ตามมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 221 และพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 มาตรา 3 และมาตรา 24 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 5174ทำนาเรื่อยมาเป็นเวลา 30 ปี จำเลยที่ 1 ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ในราคา 500,000 บาท โดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้เช่านาทราบ คชก. ตำบลลำโพ มีมติให้โจทก์ที่ 1ซื้อที่นาคืนจากจำเลยที่ 2 ได้ จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลลำโพ ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5174 ตำบลลำโพ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรีระหว่างจำเลยทั้งสอง แล้วให้จำเลยทั้งสองโอนขายให้โจทก์ทั้งสองในราคา 500,000 บาท หากไม่อาจเพิกถอนได้ให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ซื้อร่วมกันหรือแทนกันกับจำเลยที่ 1 โอนขายให้โจทก์ทั้งสองในราคา 500,000 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามขอให้โจทก์ทั้งสองวางเงิน 500,000 บาท ต่อศาลแล้วถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาโอนขายที่ดินให้โจทก์ทั้งสองแทนจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่เคยร่วมกันเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 มติของ คชก. ตำบลลำโพเป็นไปโดยมิชอบและมิได้เป็นไปตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองไม่เคยทราบถึงมติดังกล่าวมาก่อน จำเลยที่ 1 ขายที่ดินให้จำเลยที่ 2ในราคา 750,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 5174 ตำบลลำโพ อำเภอบางบัวทองจังหวัดนนทบุรี ระหว่างจำเลยทั้งสอง แล้วให้จำเลยที่ 1 โอนขายให้โจทก์ทั้งสองในราคา 500,000 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์ทั้งสองวางเงิน 500,000 บาท ต่อศาล แล้วถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาโอนขายที่ดินให้โจทก์ทั้งสองแทนจำเลยที่ 1 คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับตามคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลลำโพอันเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 58 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในการพิจารณาของศาล ให้ถือว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการโดยให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาตามคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลโดยอนุโลม คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลลำโพชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ที่ 2 นายไสว เหมือนสิน สารวัตรกำนันตำบลลำโพ นายกรินทร์ สิงคิวิบูลย์ ปลัดอำเภออาวุโสซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขานุการ คชก. ตำบลลำโพ พยานโจทก์และจำเลยที่ 2รับกันฟังได้ว่าในวันประชุม คชก. ตำบลลำโพ นายชาญ นาคบางกรรมการ คชก. ตำบลลำโพ โดยตำแหน่งในฐานะเป็นผู้ใหญ่บ้านเป็นบุตรของโจทก์ทั้งสองได้เข้าร่วมประชุมและลงมติในคำวินิจฉัยด้วยตามรายงานการประชุม คชก. ตำบลลำโพ เอกสารหมาย จ.5 เห็นว่า เมื่อนายชาญ กรรมการ คชก. ตำบลลำโพ เป็นบุตรของโจทก์ทั้งสอง นายชาญจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกรณีพิพาทรายนี้คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลลำโพ ดังกล่าวฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 18 วรรคสามซึ่งบัญญัติว่า ห้ามมิให้กรรมการซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกรณีพิพาทรายใดเข้าร่วมประชุมและใช้สิทธิในการพิจารณาและลงมติในกรณีพิพาทรายนั้น “คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลลำโพดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลมีอำนาจปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำวินิจฉัยนั้นได้ ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 221 และพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการพ.ศ. 2530 มาตรา 3 และ มาตรา 24 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่รับบังคับตามคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลลำโพตามฟ้องฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยทั้งสองข้ออื่นเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษากลับให้ยกฟ้องแต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสองที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายใหม่

Share