แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อความที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องคดีแพ่งนั้น ย่อมต่างกับฟ้องคดีอาญาเพราะในคดีแพ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่และความรับผิดฉะนั้นรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำบางอย่าง จึงมิใช่ข้อสำคัญที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องคดีแพ่ง อย่างที่บังคับไว้ในมาตรา 158 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในคดีแพ่งมีบทบังคับไว้ในมาตรา 172 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว
โจทก์กล่าวในคำฟ้องได้ความว่าเมื่อวันเวลาใดจำไม่ได้ราวเดือนมีนาคม 2489 จำเลยได้ตกลงขายนาให้โจทก์บัดนี้ถึงกำหนดโอนกันแล้วจำเลยกลับบิดพริ้วไม่ยอมโอน ทั้งฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่นาให้แก่โจทก์ดังฟ้องเลย ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ก็ดี ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นก็ดี ได้ปรากฏแจ้งชัดในคำฟ้องนั้นแล้ว โดยจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงได้ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาเช่นว่านั้นกับโจทก์เลย ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาไม่ขายที่ดินให้โจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยขาย มิฉะนั้น ก็ให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ จำเลยให้การทั้งมีข้อต่อสู้และข้อตัดฟ้อง และยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยข้อตัดฟ้องเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องใช้ได้ ไม่เคลือบคลุม ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อความที่จะกล่าวในคำฟ้องคดีแพ่งย่อมต่างกับคดีอาญา เพราะคดีแพ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่และความรับผิด ฉะนั้น รายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำบางประการ จึงมิใช่ข้อสำคัญที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องคดีแพ่งอย่างเช่นที่บังคับไว้ในมาตรา 158 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในคดีแพ่งมีบทบังคับไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว ในคดีนี้คำฟ้องได้ความว่า เมื่อวันเวลาใดจำไม่ได้ราวเดือนมีนาคม 2489 จำเลยได้ตกลงขายนาให้โจทก์บัดนี้ถึงกำหนดที่ตกลงโอนกันแล้ว จำเลยบิดพริ้วไม่ยอมโอน ทั้งฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะขายนาให้แก่โจทก์ดังฟ้องเลยดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ก็คือ สัญญาที่ได้เกิดขึ้นในราวเดือนมีนาคม ซึ่งโจทก์จำวันเวลาไม่ได้ และบัดนี้ฝ่ายจำเลยผิดนัดในการชำระหนี้ ตามสัญญานั้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ก็ดี ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นก็ดี ได้ปรากฏแจ้งชัดในคำฟ้องนั้นแล้ว โดยจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงได้ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาเช่นว่านั้นกับโจทก์เลย ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ส่วนประเด็นในการนำสืบจะเป็นอย่างไรและโจทก์จะนำสืบได้เพียงใด จึงจะไม่เป็นการนอกฟ้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่จะยกฟ้องโจทก์เสียโดยถือว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะไม่ระบุวันเดือนปีแห่งการที่เกิดเป็นสัญญา หรือวันเดือนปีที่หนี้ถึงกำหนดชำระนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย เพราะในคดีแพ่งที่เกี่ยวด้วยนิติกรรมและหนี้ในบางกรณีนั้น ยากที่จะกล่าวล่วงหน้าได้ว่าหนี้ได้เกิดขึ้นในวันเดือนใดด้วยเหตุว่าการกระทำที่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์อาจจะต่อเนื่องกันหลาย ๆ คราว และวันถึงกำหนดชำระหนี้ อาจจะต้องดูระยะเวลาอันสมควร พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น