แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 บรรยายฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ฝากรถยนต์ไว้กับจำเลยที่ 1 โดยมีบำเหน็จค่าฝาก จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 นำรถที่จำเลยที่ 1 รับฝากออกไปขับทำให้รถเสียหาย จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในค่าเสียหายนี้ ส่วนฟ้องของโจทก์ที่ 2 เพียงแต่กล่าวว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 นำรถยนต์ของโจทก์ที่ 1 ไปขับประมาท เป็นเหตุให้ชนรถของโจทก์ที่ 2 เสียหาย ฟ้องของโจทก์ที่ 1 เป็นเรื่องให้บังคับตามสัญญาฝากทรัพย์ ส่วนฟ้องของโจทก์ที่ 2 เป็นเรื่องละเมิดฟ้องของโจทก์ที่ 1 ไม่เคลือบคลุม แต่สำหรับฟ้องของโจทก์ที่ 2 ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ในการงานอะไร และการที่จำเลยที่ 2 นำรถของโจทก์ที่ 1 ออกไปขับเป็นการกระทำไปในทางการที่จำเลยที่ 1 จ้าง จึงเป็นฟ้องที่ขาดข้อความสำคัญที่จะให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดในผลอันเกิดแต่มูลละเมิดที่จำเลยที่ 2 ก่อให้เกิดขึ้น ศาลจะอาศัยฟ้องเช่นนี้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 มิได้
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่มีมติว่า การฟ้องขอให้ผู้รับฝากทรัพย์ใช้ค่าซ่อมรถยนต์ที่เกิดการเสียหายเนื่องจากความผิดของผู้รับฝาก เป็นการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันสิ้นสัญญา ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671 และถือว่าวันสิ้นสุดสัญญาคือวันที่โจทก์ที่ 1 ได้รับรถยนต์คืนมา (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 17 – 18/2519)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ท.๐๘๑๖ โจทก์ที่ ๑ นำรถยนต์คันนี้ไปฝากไว้กับจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ คิดค่ารับฝากคืนละ ๓ บาท ครั้นเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๑๖ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์คันนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ไปโดยประมาณ เป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ท.๒๓๕๗ ของโจทก์ที่ ๒ ทำให้รถของโจทก์ที่ ๑ เสียหาย ๑๙,๓๘๐ บาท ของโจทก์ที่ ๒ เสียหาย ๑๙,๔๒๐ บาท จำเลยทั้งสองต้องรับผิดร่วมกัน จึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ทั้งสองจะเป็นเจ้าของรถยนต์ตามฟ้องหรือไม่จำเลยไม่รับรอง จำเลยที่ ๑ ไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับฝากรถและจำเลยที่ ๑ ก็ไม่เคยรับฝากรถจากโจทก์ที่ ๑ จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงลูกจ้างขายน้ำมันของจำเลยที่ ๑ เท่านั้น การที่จำเลยที่ ๒ ได้เอารถของโจทก์ที่ ๑ ไปขับจนเกิดความเสียหายกับโจทก์ เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๒ ได้กระทำนอกเหนือทางการจ้างของจำเลยที่ ๑ ค่าเสียหายของโจทก์ไม่เกินคันละ ๒,๐๐๐ บาท ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะเกิน ๖ เดือน นับแต่วันสิ้นสัญญาฝากรถ ทั้งเป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะตามฟ้องไม่ทราบว่าจำเลยที่ ๑ จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๒ ด้วยเหตุใด
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้เช่ารถของโจทก์ที่ ๑ นำรถตามฟ้องไปฝากไว้กับจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ นำรถโจทก์ที่ ๑ ออกไปขับขี่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ ๑ และไม่ใช่ในทางการที่จำเลยที่ ๑ จ้าง จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ ๒ สำหรับจำเลยที่ ๑ รับฝากรถแล้วปล่อยปละละเลยเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ นำรถออกไปทำละเมิดเกิดความเสียหาย จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ ๑ ฟ้องไม่เคลือบคลุมและไม่ขาดอายุความ เพราะเป็นเรื่องละเมิดอายุความ ๑ ปี พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าซ่อมรถให้โจทก์ที่ ๑ พร้อมทั้งดอกเบี้ย ยกฟ้องโจทก์ที่ ๒
โจทก์ที่ ๑ อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่ารถเสื่อมสภาพด้วย โจทก์ที่ ๒ อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ ๑ เพราะเหตุใด จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ ทั้งจำเลยที่ ๑ ไม่ได้รับฝากรถจากโจทก์ที่ ๑ และที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ ทำละเมิดต่อโจทก์แล้วใช้อายุความ ๑ ปีก็ไม่ถูกต้อง เพราะโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดฐานรับฝากรถไม่ได้ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ทำละเมิด จึงต้องใช้อายุความ ๖ เดือน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๑ และการที่จำเลยที่ ๒ ทำละเมิดต่อโจทก์เป็นเรื่องนอกเหนือจากทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ ๑ รับฝากรถของโจทก์ที่ ๑ ไว้โดยคิดค่าตอบแทนและประพฤติผิดสัญญาโดยปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ ๒ นำรถของโจทก์ที่ ๑ ไปชนกับรถของโจทก์ที่ ๒ จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดในค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ฟ้องได้ภายใน ๑ ปี คดีไม่ขาดอายุความ ส่วนค่าเสื่อมสภาพของรถเห็นว่าโจทก์ที่ ๑ ไม่ควรได้รับ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ ๒ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย สำหรับโจทก์ที่ ๑ เหมือนกับชั้นอุทธรณ์ ส่วนโจทก์ที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ทำละเมิดต่อโจทก์ที่ ๒ จึงไม่ต้องร่วมรับผิด
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น สำหรับฟ้องของโจทก์ที่ ๑ ได้บรรยายว่าโจทก์ที่ ๑ ฝากรถยนต์ไว้กับจำเลยที่ ๑ โดยมีบำเหน็จค่าฝาก จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ นำรถที่จำเลยที่ ๑ รับฝากออกไปขับทำให้รถเสียหาย จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดในค่าเสียหายนี้ ส่วนฟ้องโจทก์ที่ ๒ เพียงแต่กล่าวว่า จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ นำรถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ไปขับประมาท เป็นเหตุให้ชนรถของโจทก์ที่ ๒ เสียหาย ฟ้องของโจทก์ที่ ๑ เป็นเรื่องให้บังคับตามสัญญาฝากทรัพย์ ส่วนฟ้องของโจทก์ที่ ๒ เป็นเรื่องละเมิด ฟ้องของโจทก์ที่ ๑ จึงไม่เคลือบคลุม แต่สำหรับฟ้องของโจทก์ที่ ๒ ไม่ได้บรรยายว่า จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ในการงานอะไร และการที่จำเลยที่ ๒ นำรถของโจทก์ที่ ๑ ออกไปขับเป็นการกระทำไปในทางการที่จำเลยที่ ๑ จ้าง จึงเป็นฟ้องที่ขาดข้อความสำคัญที่จะให้จำเลยที่ ๑ ร่วมรับผิดในผลอันเกิดแต่มูลละเมิดที่จำเลยที่ ๒ ก่อให้เกิดขึ้น ศาลจะอาศัยฟ้องเช่นนี้พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๕ มิได้ ในปัญหาเรื่องอายุความฟ้องร้องของโจทก์ที่ ๑ ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่มีมติว่า การฟ้องขอให้ผู้รับฝากทรัพย์ใช้ค่าซ่อมรถยนต์ที่เกิดการเสียหายเนื่องจากความผิดของผู้รับฝาก เป็นการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาหกเดือน นับแต่วันสิ้นสัญญา ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๑ และ ถือว่าวันสิ้นสุดสัญญาคือวันที่โจทก์ที่ ๑ ได้รับรถยนต์คืนมา และฟังข้อเท็จจริงว่า นับเวลาตั้งแต่วันที่โจทก์ที่ ๑ รับรถยนต์คืนจนถึงวันที่โจทก์ที่ ๑ ฟ้องคดีนี้เป็นเวลาเกินหกเดือนแล้ว ฟ้องของโจทก์ที่ ๑ จึงขาดอายุความ
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง