แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินค้าที่จำเลยค้างชำระ โดยบรรยายฟ้องเกี่ยวกับชนิดและจำนวนสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อพร้อมทั้งราคาและเงื่อนไขในการชำระตลอดจนสถานที่ที่ให้โจทก์จัดส่งมอบสินค้าให้จำเลยโดยละเอียดพอที่จำเลยเข้าใจได้เป็นอย่างดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์จำเลยตกลงกันว่า การชำระเงินค่าสินค้านั้นจำเลยจะต้องชำระภายในกำหนด 45 วัน นับแต่วันส่งของเสร็จถือได้ว่าการชำระหนี้รายนี้มีกำหนดเวลาชำระที่แน่นอนแล้วเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามกำหนดถือได้ว่าจำเลยผิดนัดโจทก์ไม่ต้องทวงถามอีก
จำเลยอุทธรณ์ว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในส่วนสินค้าและราคายังคลาดเคลื่อนเป็นอันมาก ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเพราะจำเลยไม่ได้บรรยายให้แจ้งชัดว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไร จำเลยฎีกาต่อมาลอยๆ ว่าจำนวนสินค้าและราคายังคลาดเคลื่อนเป็นอันมากโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นว่าไม่ถูกต้องอย่างไรจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 249 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งซื้อเสาเข็มไอเซฟจากโจทก์หลายครั้งเพื่อใช้ในกิจการของจำเลย โจทก์ได้จัดส่งเสาเข็มไอเซฟขนาดต่าง ๆ ให้จำเลยตามสถานที่ที่จำเลยสั่งร่วม 4 แห่งคือหน่วยก่อสร้างที่โรงแรมราชา หน่วยก่อสร้างที่บริษัทไทยพลาสติก จำกัด หน่วยก่อสร้างที่มิตซูบิชิและที่หน่วยก่อสร้างไทยยาซากิ การชำระราคา จำเลยต้องชำระภายใน 45 วัน เมื่อโจทก์ส่งเสาเข็มให้จำเลยครบแล้ว หากค้างชำระยอมให้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีจำเลยชำระให้โจทก์ 3 ครั้ง ยังค้างชำระทั้งหมดเป็นเงิน 397,328 บาท 38 สตางค์ ขอศาลบังคับให้ชำระพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่เคยสั่งซื้อหรือมอบให้ผู้ใดสั่งซื้อเสาเข็มจากโจทก์จำเลยทั้งสองไม่เคยรับเหมาก่อสร้าง ณ สถานที่ตามที่โจทก์ฟ้องทุกรายการฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมิได้กล่าวว่าเสาเข็มที่โจทก์ขายให้จำเลยเป็นเสาเข็มชนิดและประเภทใดเป็นเสาไม้หรือเสาที่ทำด้วยวัสดุอะไร สั่งซื้อแต่เมื่อใดและไม่มีรายละเอียดของการสั่งซื้อ ก่อนฟ้องไม่เคยได้รับการทวงถาม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 395,326 บาท 70 สตางค์พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในส่วนราคาสินค้าและจำนวนยังคลาดเคลื่อนเป็นอันมาก ทั้งพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีฐานที่ตั้งอันแน่ชัดที่จะกำหนดจำนวนของสินค้าได้แน่นอนนั้น เห็นว่า จำเลยไม่บรรยายให้แจ้งชัดว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไร ไม่ชอบด้วยมาตรา 222 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาแรกที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า บริษัทอวนินทร์ จำกัด โจทก์ กับบริษัทเอส.พี.เอ.จำกัด เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน มีสำนักงานอยู่ที่เดียวกัน และมีนายศักดาบุญยรักษ์เป็นผู้จัดการบริษัททั้งสอง คือทางด้านบริษัท เอส.พี.เอ. จำกัด เป็นฝ่ายผลิตเสาเข็มคอนกรีต ส่วนบริษัทอวนินทร์ จำกัด โจทก์เป็นฝ่ายจำหน่าย ตามหลักฐานใบส่งของที่จัดส่งเสาเข็มไปให้จำเลย ที่หน่วยงานโรงแรมราชาตามเอกสารหมาย จ.7 ถึง จ.57 ที่หน่วยงานมิตซูบิชิ ตามเอกสารหมาย จ.60 ถึง จ.74 ที่หน่วยงานไทยพลาสติก ตามเอกสารหมาย จ.78 ถึง จ.102 และที่หน่วยงานไทยยาซากิ ตามเอกสารหมาย จ.104 ถึง จ.121 นั้นปรากฏชัดว่าบริษัทอวนินทร์ จำกัด โจทก์เป็นผู้จัดส่งไปทั้งสิ้น สำหรับฝ่ายจำเลยที่มีหนังสือสั่งซื้อไปนั้น ก็ปรากฏว่าที่หัวกระดาษตามเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.6, จ.58, จ.59, จ.75 ถึง จ.77, จ.103, จ.122 ถึง จ.125 เป็นชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 และมีตราของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ประทับไว้ที่ลายเซ็นทั้งสิ้น ฟังได้ว่าบริษัทโจทก์ได้ขายสินค้าตามฟ้องให้แก่จำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายขอเรียกร้องมาในฟ้องเกี่ยวกับชนิดและจำนวนสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อ พร้อมทั้งราคาและเงื่อนไขในการชำระ ตลอดจนสถานที่ที่ให้โจทก์จัดส่งมอบสินค้าให้จำเลยโดยละเอียดพอที่จำเลยเข้าใจได้เป็นอย่างดีแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ปัญหาว่าโจทก์ต้องทวงถามให้จำเลยชำระหนี้อีกหรือไม่ ข้อนี้โจทก์นำสืบชัดว่า การชำระเงินค่าเสาเข็มนี้จำเลยจะต้องชำระภายในกำหนด 45 วัน นับแต่วันส่งของเสร็จ ซึ่งจำเลยก็มิได้นำสืบคัดค้านในเรื่องนี้แต่อย่างใด ถือได้ว่าการชำระหนี้รายนี้มีกำหนดเวลาชำระที่แน่นอนแล้ว เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลา ถือได้ว่าจำเลยผิดนัด โจทก์จึงไม่จำต้องทวงถามจำเลยอีก อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้โทรศัพท์ทวงถามจำเลยหลายครั้ง และให้ทนายความมีหนังสือทวงถามไปอีกตามเอกสารหมาย จ.159 แต่ส่งให้จำเลยไม่ได้โดยพนักงานไปรษณีย์แจ้งว่าย้ายที่อยู่ ซึ่งความจริงยังอยู่ที่เดิม
ที่จำเลยฎีกาว่าจำนวนสินค้าและราคายังคลาดเคลื่อนเป็นอันมากนั้น ข้อนี้ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเพราะจำเลยไม่ได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไรที่จำเลยฎีกามาก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นว่าไม่ถูกต้องอย่างไรจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่แก้ไขเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6)พ.ศ.2518 มาตรา 7 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลย
ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน