แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินระบุว่าให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม เช่นนี้ วันถึงกำหนดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวคือ วันที่ทวงถามให้ใช้เงิน ตามความใน ป.พ.พ. มาตรา 913 (3) หาใช่วันออกตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ เพราะวันดังกล่าวเป็นเพียงวันที่อาจใช้สิทธิทวงถามได้เท่านั้น เมื่อยังไม่ใช้สิทธิทวงถามก็ยังไม่ถึงวันกำหนดใช้เงิน อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ เพราะอายุความเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ซึ่งก็คือวันถึงกำหนดใช้เงิน
หนังสือทวงถามกำหนดให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือทวงถาม จำเลยที่ 1 รับหนังสือทวงถามวันที่ 20 มกราคม 2547 ครบกำหนด 30 วัน ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2547 หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ภายในวันดังกล่าวย่อมตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์อาจบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินและตั๋วสัญญาใช้เงินได้นับแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2547 เป็นต้นไป อายุความเริ่มนับตั้งแต่วันที่ดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2547 อันเป็นวันฟ้องคดีนี้ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และยังไม่พ้นกำหนด 3 ปี ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 และมาตรา 1001 ตามลำดับ ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน 91,440,739.69 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 18,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งห้าให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันชำระเงิน 18,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1819, 1788 และ 4513 ตำบลผักขะ อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว (ปราจีนบุรี) พร้อมสิ่งปลูกสร้างทรัพย์จำนอง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ในฐานะทายาทของพันเอก (พิเศษ) พล ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ในส่วนนี้ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2547 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาล 200 บาท แก่จำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังเป็นยุติในชั้นฎีกาว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2526 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินและออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินเมื่อทวงถาม 18,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี นับแต่วันดังกล่าวให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์รอยัล อินเตอร์เนชั่นแนล ไฟแนนซ์ จำกัด โดยจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 1819, 1788 และ 4513 ตำบลผักขะ อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว (ปราจีนบุรี) พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้ โดยตกลงกันว่าหากบังคับจำนองแล้วได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ เงินยังขาดจำนวนอยู่เท่าใด จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดในเงินนั้น และจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากนั้น จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่บริษัท โดยครั้งสุดท้ายชำระเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2528 ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2542 และวันที่ 7 กรกฎาคม 2546 โจทก์รับโอนหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และสิทธิการรับจำนองจากบริษัทดังกล่าว โจทก์ทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้ชำระหนี้ภายใน 30 วัน นับแต่วันทวงถาม จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือทวงถามในวันที่ 20 มกราคม 2547 แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เพิกเฉย คดีคงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ที่อ้างว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้น คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินและตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งในสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินระบุว่าหากจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 1 ขอยอมรับผิดชอบชดใช้เงิน 18,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย และตั๋วสัญญาใช้เงินระบุว่าจะใช้เงินเมื่อทวงถาม เห็นได้ว่า เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินระบุว่าให้ใช้เงินเมื่อทวงถาม เช่นนี้ วันถึงกำหนดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวคือ วันที่ทวงถามให้ใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 913 (3) หาใช่วันออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 เข้าใจไม่ เพราะวันดังกล่าวเป็นเพียงวันที่อาจใช้สิทธิทวงถามได้เท่านั้น เมื่อยังไม่ใช้สิทธิทวงถามก็ยังไม่ถึงวันกำหนดใช้เงิน อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ เพราะอายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ซึ่งก็คือวันถึงกำหนดใช้เงิน การที่หนังสือทวงถามกำหนดให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือทวงถาม จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2547 ครบกำหนด 30 วัน ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2547 หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ภายในวันดังกล่าวย่อมตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์อาจบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินและตั๋วสัญญาใช้เงินได้นับแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2547 เป็นต้นไป ดังนี้ อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ดังกล่าว ซึ่งเมื่อนับถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2547 อันเป็นวันฟ้องคดีนี้ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี ตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และยังไม่พ้นกำหนด 3 ปี ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 และมาตรา 1001 ตามลำดับ ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ