แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์นำสืบเอกสารโดยส่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าวต่อศาลและขอรับคืนไปโดยขอส่งสำเนาไว้แทนเมื่อจำเลยมิได้คัดค้านการนำสืบเอกสารนั้นโดยเหตุที่ว่าไม่มีต้นฉบับหรือว่าต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือแต่บางส่วนหรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องตรงกับต้นฉบับย่อมต้องฟังว่าต้นฉบับเอกสารนั้นมีอยู่แท้จริงและถูกต้องและรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์ แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์หลายครั้ง ครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2520 เป็นเงิน 1,000,000 บาท ต่อมาทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเพิ่มเติมครั้งที่ 1 เป็นเงิน 500,000 บาท และทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเพิ่มเติมครั้งที่ 2 เป็นเงิน 1,000,000 บาท การกู้เบิกเงินเกินบัญชีครั้งแรกมีนายธนาการ แซ่เตีย จดทะเบียนจำนองที่ดินจำนวน2 แปลง เป็นประกันหนี้ดังกล่าว และต่อมาโอนที่ดินนั้นให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยติดภาระจำนอง ต่อมาจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ทำสัญญาค้ำประกันและได้ทำบันทึกจดทะเบียนขึ้นเงินจำนองของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในการกู้เบิกเงินเกินบัญชีทุกครั้ง ต่อมาจำเลยที่ 1ไม่เดินสะพัดทางบัญชี โจทก์จึงปิดบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2522 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาสินเชื่อการค้ากับโจทก์ โดยมีเงื่อนไขให้โจทก์ทดรองจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1ผู้รับสินเชื่อตามตั๋วแลกเงินทุกฉบับไม่เกินวงเงิน 1,500,000 บาทจำเลยที่ 2 ที่ 3 เข้าเป็นผู้ค้ำประกันและจำนองที่ดินทั้งสองแปลงข้างต้นเป็นประกันหนี้ดังกล่าวจำเลยที่ 1 นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาแลกเงินสดไป รวมเป็นเงิน 1,400,000 บาท แล้วไม่นำเงินมาชำระจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีถึงวันฟ้องเป็นเงิน 3,425,766.28 บาท และหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องอีกเป็นเงิน 1,473,605.47 บาท โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามชำระแล้ว แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระ โจทก์ได้บอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินทั้งสองรายการพร้อมดอกเบี้ยและบังคับจำนองด้วย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้นำที่ดินจำนวน 2 แปลงจำนองเป็นประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามฟ้องจริง แต่เมื่อครบกำหนดชำระคืน จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ครบถ้วนคงค้างชำระเพียงต้นเงิน ส่วนหนี้ตามสัญญาสินเชื่อการค้าจำเลยที่ 1 ค้างชำระโจทก์เพียง 1,400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย การบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่าเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 โจทก์ส่งแต่สำเนา ไม่ใช่ต้นฉบับ จึงรับฟังไม่ได้ ปรากฏว่าโจทก์ได้อ้างและส่งต้นฉบับเอกสาร จ.1 จ.2 ต่อศาลและสำเนาเอกสารให้จำเลยทั้งสามแล้ว โดยนายอภิบูลย์ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้แก่นายชาตรี โสภณพาณิชโดยลงลายมือชื่อและประทับตราบริษัทโจทก์ ปรากฎตามเอกสารหมาย จ.1(ทนายแถลงขอส่งสำเนาและรับต้นฉบับคืนไป) นายชาตรี มอบอำนาจให้นายอภิบูลย์ฟ้องคดีนี้ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 (ทนายแถลงขอส่งสำเนาและรับต้นฉบับคืนไป) เมื่อโจทก์ส่งต้นฉบับเป็นพยานหลักฐานต่อศาลแล้วขอรับต้นฉบับคืนโดยขอส่งสำเนาไว้แทนนั้นจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเอกสารมาเป็นพยานหลักฐานยันตนหาได้คัดค้านการนำสำเนาเอกสารนั้นมาสืบโดยเหตุที่ว่าไม่มีต้นฉบับหรือว่าต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือแต่บางส่วน หรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับไม่ ดังนั้นจึงต้องฟังว่าเอกสารหมาย จ.1 จ.2 มีอยู่แท้จริงและถูกต้องรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
พิพากษายืน.