แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นคู่สัญญาแต่ฟ้องให้รับผิดในฐานะเป็นกรมซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3ปฏิบัติหน้าที่แทนจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ หากศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเป็นคุณแก่โจทก์แล้ว ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจที่จะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประกันหรือไม่ต่อไปเสียเองหรือส่งสำนวนคืนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นสาระแก่คดีที่ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย
โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยทั้งสามไม่มีอำนาจริบเงินประกันตัวผู้ต้องหาของโจทก์ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิพากษา ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ล่าช้ามามากแล้ว เห็นสมควรที่จะได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวโดยไม่ส่งสำนวนคืนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา247
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทราบวันนัดส่งตัวผู้ต้องหาแล้วผิดนัด โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาประกัน ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยทั้งสาม