แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่1มีเฮโรอีนซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก2,885กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยลักษณะของคดีและพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนให้สายลับเข้าไปล่อซื้อมีความซับซ้อนพอสมควรเชื่อว่าเป็นการกระทำเป็นขบวนการซึ่งย่อมต้องมีผู้ร่วมขบวนการด้วยเมื่อพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันว่าจำเลยที่2และที่3เข้าไปเกี่ยวข้องกับจำเลยที่1ในการล่อซื้อเฮโรอีนดังกล่าวและถูกจับได้พร้อมของกลางในห้องพักเดียวกันอันเป็นพฤติการณ์ที่แสดงออกในลักษณะร่วมขบวนการเดียวกันพยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้ว่าจำเลยที่2และที่3ร่วมกับจำเลยที่1มีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายส่วนจำเลยที่4ถึงที่6ซึ่งโจทก์นำสืบว่ามีส่วนรู้เห็นกับการเตรียมส่งมอบเฮโรอีนของกลางโดยเป็นผู้นำเฮโรอีนไปส่งให้แก่จำเลยที่3นั้นพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเบิกความแตกต่างจากคำพยานคนกลางอีกทั้งบริเวณนั้นก็มีแสงสว่างน้อยพยานโจทก์ซุ่มดูเหตุการณ์ห่างกัน10เมตรเศษเชื่อว่าพยานโจทก์ไม่สามารถมองเห็นกลุ่มคนดังกล่าวได้ชัดเจนพอพยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักฟังว่าจำเลยที่4ถึงที่6ได้ร่วมกระทำผิด
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 92 ริบ เฮโรอีน ของกลาง และ เพิ่มโทษ จำเลย ที่ 3
จำเลย ที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 6 ให้การ ปฏิเสธ และ จำเลย ที่ 3 รับ ว่าเป็น บุคคล คนเดียว กับ จำเลย ใน คดี ที่ โจทก์ ขอให้ เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 มี ความผิด ฐานร่วมกัน มี เฮโรอีน ของกลาง ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย และ พยายามจำหน่าย เฮโรอีน ตาม พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7, 8, 15, 66 วรรคสอง , 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 ลงโทษฐาน มี เฮโรอีน ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย ซึ่ง เป็น บทหนัก ให้ประหารชีวิต จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 จำเลย ที่ 1 ให้การรับสารภาพแต่ นำสืบ ปฏิเสธ เป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา อยู่ บ้าง มีเหตุ บรรเทา โทษลดโทษ ให้ หนึ่ง ใน สาม ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คง จำคุก จำเลยที่ 1 ตลอด ชีวิต จำเลย ที่ 3 ต้องโทษ ประหารชีวิต แล้ว จึง ไม่อาจเพิ่มโทษ อีก ให้ยก คำขอ ส่วน นี้ และ ให้ยก ฟ้อง จำเลย ที่ 4 ถึง ที่ 6ริบ เฮโรอีน ของกลาง
โจทก์ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 อุทธรณ์ ศาลชั้นต้น ส่ง สำนวนเกี่ยวกับ จำเลย ที่ 1 มา ยัง ศาลอุทธรณ์ ตาม ประมวล กฎหมาย วิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ เป็น ว่า จำเลย ที่ 4 ถึง ที่ 6 มี ความผิดฐาน ร่วมกัน มี เฮโรอีน ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 66 วรรคสอง ให้ ลงโทษประหารชีวิต นอกจาก ที่ แก้ คง ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น
จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง ใน เบื้องต้นฟัง เป็น ยุติ ตาม คำพิพากษา ของ ศาลล่าง ทั้ง สอง ว่า ตาม วัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุ ตาม ฟ้อง จำเลย ที่ 1 ได้ กระทำผิด ฐาน มี เฮโรอีนของกลาง ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย และ พยายาม จำหน่าย มี ปัญหาวินิจฉัย ใน ชั้น นี้ ว่า จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 6 ได้ ร่วม กระทำผิด กับจำเลย ที่ 1 หรือไม่ ทางพิจารณา ได้ความ ตาม ทางนำสืบ ของ โจทก์ ว่าก่อน เกิดเหตุ เจ้าพนักงาน ตำรวจ สืบทราบ มา ว่า มี การ ติดต่อ ซื้อ ขายเฮโรอีน กัน ที่ โรงแรม จอมเทียนลอดจ์ จึง ได้ ประชุม วางแผน จับกุม ใน วันเกิดเหตุ โดย วางแผน ให้ สาย ลับ เข้า ไป ล่อ ซื้อ และ ให้ นาย จีน กูน เจ้าหน้าที่ ปราบปราม ยาเสพติด ของ ประเทศ สหรัฐอเมริกา ปลอม เป็น ผู้ซื้อ กับ มอบหมาย ให้ เจ้าพนักงาน ตำรวจ อีก ส่วน หนึ่ง คอย ซุ่ม ดูเหตุการณ์ อยู่ รอบ ๆ บริเวณ โรงแรม ดังกล่าว เสร็จ แล้ว ได้ แยก ย้ายกัน ปฏิบัติ หน้าที่ ใน การ ล่อ ซื้อ เฮโรอีน นั้น โจทก์ มี นาย จีน กูน เบิกความ ว่า วันเกิดเหตุ เวลา ประมาณ 15 นาฬิกา พยาน กับ เจ้าพนักงานตำรวจ คนหนึ่ง ซึ่ง ปลอม เป็น คนขับ รถ ไป ที่ โรงแรม จอมเทียนลอดจ์ มี สาย ลับ พา ไป พบ จำเลย ที่ 3 ที่ ห้อง ล็อบบี้ พยาน เจรจา กับ จำเลย ที่ 3ขอ ซื้อ เฮโรอีน จำนวน 5 ตัว จำเลย ที่ 3 อ้างว่า ก่อน มี การ ซื้อ ขาย กันต้อง ขอ ดู เงิน ก่อน เพราะ เฮโรอีน จำนวน ดังกล่าว มี หลาย เจ้าของ จึง ตกลงกัน ว่า เรื่อง ขอ ดู เงิน จะ แจ้ง ผ่าน สาย ลับ อีก ครั้งหนึ่ง แล้ว ต่าง แยก ย้ายกัน ไป ตก เย็น วันนั้น พยาน ก็ ได้รับ แจ้ง จาก สาย ลับ ว่า จะ มี การ นัด ดู เงินกัน ที่ ห้อง ล้อ บบี้ของ โรงแรม ดุสิตรีสอร์ทพัทยา เวลา 23 นาฬิกา พยาน จึง เตรียม เงินสด 1,000,000 บาท ใส่ กระเป๋า ไป พบ สาย ลับ และจำเลย ที่ 1 ที่ จัด นัดพบ ดังกล่าว ตาม เวลา นัดหมาย เมื่อ จำเลย ที่ 1ตรวจ เงินสด ใน กระเป๋า ของ พยาน เป็น ที่ พอใจ แล้ว จึง นัดหมาย ส่งมอบเฮโรอีน กัน ที่ โรงแรม จอมเทียนลอดจ์ ใน เวลา ต่อเนื่อง กัน ซึ่ง ความ เคลื่อนไหว ใน การ ติดต่อ พบปะ เจรจา ซื้อ ขาย กัน ดังกล่าว โจทก์ยัง มี ร้อยตำรวจเอก จิรัตน์ และ สิบตำรวจโท เดชา เบิกความ สนับสนุน ว่า ทั้งหมด อยู่ ใน สายตา และ การ รับ รู้ ของ พยาน ทั้ง สอง โดย พยาน ทั้ง สองได้ แอบ ซุ่ม สังเกต การณ์ อยู่ หน้า โรงแรม และ คอย สะกดรอย ตาม และ วิทยุติดต่อ อยู่ ตลอด เวลา แต่ก่อน ที่ จะ มี การ ตรวจ ดู เงิน ตาม เวลา และสถานที่ ซึ่ง นัดหมาย กัน ดังกล่าว ได้ความ ตาม คำเบิกความ ของร้อยตำรวจเอก จิรัตน์ ว่า คืน เกิดเหตุ เวลา ประมาณ 22 นาฬิกา ขณะที่ พยาน ไป ซุ่ม สังเกต การณ์ อยู่ หน้า โรงแรม จอมเทียนลอดจ์ พบ ว่า จำเลย ที่ 2 ขับ รถจักรยานยนต์ พา จำเลย ที่ 1 นั่ง ซ้อน ท้าย เข้า ไป ในโรงแรม ดังกล่าว หลังจาก นั้น อีก ประมาณ 5 นาที ก็ เห็น สาย ลับ ขับ รถจักรยานยนต์ พา จำเลย ที่ 1 ออกจาก โรงแรม มุ่งหน้า ไป ยัง โรงแรม ดุสิตรีสอร์ทพัทยา ตาม ที่ นัดหมาย กับ นาย จีน กูน เพื่อ ตรวจ ดู เงิน ดังกล่าว ส่วน ใน การ นัดหมาย ส่งมอบ เฮโรอีน กัน ที่ โรงแรม จอมเทียนลอดจ์ ใน คืน เกิดเหตุ นั้น ได้ความ จาก คำเบิกความ ของ พยานโจทก์ ทั้ง สองต่อไป ว่า เมื่อ สาย ลับ ใส่ หมวก เดิน ลง จาก บันได โรงแรม อันเป็นสัญญาณ ให้ เข้า จับกุม ได้ โดย บอก ที่ ซ่อน เฮโรอีน ว่า อยู่ บน เพดานห้องพัก เลขที่ 205 ด้วย พยานโจทก์ ทั้ง สอง กับพวก จึง ตรง ไป ที่ ห้องพักดังกล่าว ซึ่ง อยู่ บน ชั้น สอง ของ โรงแรม เมื่อ เคาะ ประตู ห้องพัก จำเลยที่ 1 เป็น คน เดิน มา เปิด ประตู พบ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 อยู่ ภายในห้องพัก นั้น ด้วย และ เมื่อ ร้อยตำรวจเอก จิรัตน์ เปิด ฝ้าเพดาน ออก ก็ พบ กระเป๋า ยีน 1 ใบ ภายใน บรรจุ เฮโรอีน ของกลาง จึง ควบคุม ตัวจำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 ลง ไป ชั้นล่าง ความ ข้อ นี้ โจทก์ ยัง มี นาย พยุง กิจบำรุง ซึ่ง เป็น แคชเชียร์ ของ โรงแรม ดังกล่าว เบิกความ สนับสนุน ว่า พยาน เห็น เจ้าพนักงาน ตำรวจ ควบคุม จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 ลง มาจากห้องพัก ของ โรงแรม จริง เห็นว่า เมื่อ ข้อเท็จจริง ฟัง เป็น ยุติ ในเบื้องต้น ว่า จำเลย ที่ 1 มี เฮโรอีน ของกลาง ซึ่ง คำนวณ เป็น สาร บริสุทธิ์หนัก 2,885 กรัม ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย ตาม ฟ้อง ตาม ลักษณะของ คดี และ พฤติการณ์ ที่ เจ้าพนักงาน ตำรวจ วางแผน ให้ สาย ลับ เข้า ไปล่อ ซื้อ ดังกล่าว นับ ว่า มี ความ ซับซ้อน พอสมควร เชื่อ ได้ว่า จำเลย ที่ 1เป็น หนึ่ง ใน ขบวน การ ที่ จำหน่าย ยาเสพติดให้โทษ ดังกล่าว ซึ่ง ย่อม ต้องมี ผู้ ร่วม ขบวน การ ด้วย ตาม ที่ พยานโจทก์ ดังกล่าว เบิกความ สอดคล้องต้อง กัน ว่า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 เข้า ไป เกี่ยวข้อง กับ จำเลย ที่ 1ใน การ ล่อ ซื้อ เฮโรอีน ดังกล่าว และ ถูกจับ ได้ พร้อม ของกลาง ใน ห้องพักเดียว กัน พฤติการณ์ การกระทำ ของ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 แสดง ออกใน ลักษณะ ร่วม ขบวน การ เดียว กับ จำเลย ที่ 1 ที่ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3ต่าง นำสืบ ว่า ถูก เจ้าพนักงาน ตำรวจ จับกุม จาก ชั้นล่าง ของ โรงแรมแล้ว นำ ขึ้น ไป รวม อยู่ ใน ห้องพัก เลขที่ 205 โดย จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3ไม่มี ส่วน รู้เห็น เกี่ยวกับ เฮโรอีน ของกลาง ใน คดี นี้ นั้น เป็นคำเบิกความ อ้าง ขึ้น ลอย ๆ ไม่มี เหตุผล และ น้ำหนัก ฟัง หักล้างพยานหลักฐาน โจทก์ ได้ พยานหลักฐาน โจทก์ มี น้ำหนัก มั่นคง ฟังได้โดย ปราศจาก ข้อสงสัย ว่า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ร่วม กับ จำเลย ที่ 1มี เฮโรอีน ของกลาง ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย และ พยายาม จำหน่ายศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ชอบแล้ว ฎีกา ของ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3ฟังไม่ขึ้น
สำหรับ จำเลย ที่ 4 ถึง ที่ 6 นั้น มี ปัญหา ว่า เข้า ไป มี ส่วนรู้เห็น กับ การ เตรียม ส่งมอบ เฮโรอีน ของกลาง อัน จะ เป็น ความผิด ฐานร่วมกัน มี เฮโรอีน ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย ดัง ที่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย หรือไม่ โดย โจทก์ คง มี ร้อยตำรวจเอก จิรัตน์ และ สิบตำรวจโท เดชา เบิกความ ได้ ใจความ ว่า ภายหลัง ที่ พยาน กลับ จาก ซุ่ม ดู เหตุการณ์ ที่ โรงแรม ดุสิตรีสอร์ทพัทยา แล้ว พยาน ขับ รถยนต์ กลับมา จอด ที่ ลานจอดรถ หลัง โรงแรม จอมเทียนลอดจ์ เพื่อ ซุ่ม ดู เหตุการณ์ อยู่ ภายใน รถยนต์ ไม่ นาน ก็ มี รถยนต์ เก๋ง ยี่ห้อ นิสสัน สีเทา แล่น เจ้า ไป จอด ที่ ลานจอดรถ ห่าง จาก รถยนต์ ของ พยาน 10 เมตร เศษ ขณะ นั้นจำเลย ที่ 3 ลง จาก โรงแรม เดิน ไป ที่ รถยนต์ คัน ดังกล่าว จำเลย ที่ 4ถึง ที่ 6 เปิด ประตู รถยนต์ ลง ไป คุย กับ จำเลย ที่ 3 อยู่ นาน ประมาณ5 นาที ระหว่าง นั้น จำเลย ที่ 5 เปิด ประตู รถยนต์ ด้าน คนขับ หยิบ เอากระเป๋า ยีน 1 ใบ ส่ง ให้ จำเลย ที่ 3 จำเลย ที่ 3 รับ มา ถือ ไว้แล้ว เดิน ขึ้น โรงแรม ไป ส่วน รถยนต์ คัน ดังกล่าว แล่น ออก ไป จาก โรงแรมและ ยืนยัน ว่า กระเป๋า ยีนดังกล่าว เป็น ใบ เดียว กับ ที่ ใช้ บรรจุ เฮโรอีนของกลาง ซึ่ง ค้น ได้ จาก ห้องพัก เลขที่ 205 นั้น เห็นว่า คำพยาน โจทก์ดังกล่าว แตกต่าง จาก คำพยาน คนกลาง คือ นาย พยุง พยานโจทก์ ซึ่ง เป็น พนักงาน โรงแรม เบิกความ ตอบ ทนายจำเลย ที่ 5 ถาม ค้าน ว่า ตั้งแต่เวลา 16 นาฬิกา ถึง เวลา 23 นาฬิกา ของ วันเกิดเหตุ ไม่เห็น รถยนต์ของ จำเลย ที่ 4 ถึง ที่ 6 ซึ่ง ถูกจับ กุม มา ภายหลัง เข้า ไป ใน โรงแรม เลยอย่างไร ก็ ดี ไม่ได้ ความ จาก คำพยาน โจทก์ ข้างต้น ว่า บริเวณ ลานจอดรถที่เกิดเหตุ เวลา กลางคืน ได้รับ แสง สว่าง จาก ที่ ใด บ้าง คง ได้ความจาก นาย พยุง เบิกความ ว่า บริเวณ ลานจอดรถ ดังกล่าว อาศัย แสง สว่าง จาก หลอด ไฟ ดวง กลม ขนาด เล็ก ที่ ติด ไว้ บน เพดาน ชั้น สอง และ ชั้น สาม ของโรงแรม เท่านั้น จึง มี แสง สว่าง น้อย ดังนั้น ระยะ ทาง ที่ ซุ่ม ดูเหตุการณ์ ห่าง กัน 10 เมตร เศษ ก็ เชื่อ ว่า พยานโจทก์ ทั้ง สอง ไม่สามารถมองเห็น คน ที่นั่ง มา กับ รถยนต์ คัน ดังกล่าว ได้ ชัดเจน พอ ทั้ง ยัง มีข้อ น่า สังเกต ว่า ไม่มี เหตุผล ใด ที่ คนร้าย ซึ่ง นำ เฮโรอีน มา ส่งมอบให้ แก่ จำเลย ที่ 3 จะ เปิด ประตู รถยนต์ คัน ดังกล่าว ลง ไป คุย กับจำเลย ที่ 3 นาน ถึง 5 นาที ใน ส่วน จำเลย ที่ 4 ถึง ที่ 6 ซึ่ง ถูกเจ้าพนักงาน ตำรวจ จับกุม มา ได้ ใน คืน เกิดเหตุ นั้น โจทก์ ไม่มี พยานผู้จับกุม หรือ พยานหลักฐาน อื่น มา นำสืบ ให้ ปรากฏว่า สามารถ จับกุมมา ได้ พร้อมกัน ใน รถยนต์ คัน เดียว กัน หรือไม่ จาก ที่ ใด และ ใน พฤติการณ์อย่างไร ซึ่ง จำเลย ที่ 4 ถึง ที่ 6 ต่าง นำสืบ ว่า ไม่ได้ ถูก เจ้าพนักงานตำรวจ จับกุม มา พร้อมกัน หาก แต่ จำเลย ที่ 5 ถูกจับ ขณะ ขับ รถยนต์กลับ จาก ส่ง ผู้โดยสาร และ ผ่าน มา ทาง หน้า โรงแรม ส่วน จำเลย ที่ 4ถูก เชิญ ตัว มาจาก บ้าน เนื่องด้วย เป็น ภริยา ของ จำเลย ที่ 1 และ มีจำเลย ที่ 6 ติดตาม มา เป็น เพื่อน ด้วย ที่ ร้อยตำรวจเอก จิรัตน์ เบิกความ ว่า เมื่อ ควบคุม ตัว จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 3 จาก ห้องพัก ลง ไปชั้นล่าง ก็ พบ ว่า จำเลย ที่ 4 ถึง ที่ 6 ถูกจับ อยู่ ที่ ลานจอดรถ แล้ว นั้นนาย พยุง กลับ เบิกความ ใน ข้อ นี้ ว่า ขณะที่ เจ้าพนักงาน ตำรวจ ชั่ง เฮโรอีน ของกลาง อยู่ ที่ เคาน์เตอร์ ชั้นล่าง นั้น ประมาณ 20 นาที ต่อมาจึง ได้ยิน เสียง จาก วิทยุ ตำรวจ ว่า มี รถยนต์ ลักษณะ คล้าย คนร้าย แล่นผ่าน ให้ สกัด จับ จาก นั้น อีก ประมาณ 20 นาที เจ้าพนักงาน ตำรวจจึง จับ คนร้าย มา ได้ 3 คน เป็น ชาย 2 คน และ หญิง 1 คน พยานหลักฐานโจทก์ เกี่ยวกับ จำเลย ที่ 4 ถึง ที่ 6 ดัง วินิจฉัย มา ยัง ไม่มี น้ำหนักมั่นคง ฟัง เป็น ยุติ ได้ว่า จำเลย ที่ 4 ถึง ที่ 6 ได้ ร่วม กระทำผิดใน คดี นี้ อย่างไร หาก แต่ กรณี ยัง มี ความ สงสัย ตาม สมควร ว่า ได้ ร่วมกระทำผิด ฐาน มี เฮโรอีน ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย หรือไม่ จึง ให้ยก ประโยชน์ แห่ง ความ สงสัย ให้ จำเลย ที่ 4 ถึง ที่ 6 ตาม ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ใน ส่วน นี้ ไม่ต้อง ด้วย ความเห็น ของ ศาลฎีกา ฎีกา ของ จำเลย ที่ 4ถึง ที่ 6 ฟังขึ้น ”
พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ยก ฟ้อง จำเลย ที่ 4 ถึง ที่ 6 นอกจาก ที่ แก้ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์