แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานปลอมสัญญากู้เงินที่มีชื่อ ช. เป็นผู้กู้ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนจำคุกจำเลยในความผิดกระทงนี้ไม่เกิน5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์นำสืบพิสูจน์ไม่ได้ว่าสัญญากู้เงินดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม กับขอให้รอการลงโทษแก่จำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยเขียนสัญญากู้เงินและลงลายมือชื่อของ จ. โดย จ.มิได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินด้วยตนเองและไม่มีกฎหมายให้อำนาจให้ลงลายมือชื่อแทนกันได้ สัญญากู้เงินดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่จำเลยทำปลอมขึ้นซึ่งน่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมผู้ให้กู้ จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ และเมื่อจำเลยนำเอกสารดังกล่าวไปแสดงต่อโจทก์ร่วมทำให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าเป็นสัญญากู้เงินที่ จ.ลงลายมือชื่อไว้จริง และมอบเงินตามสัญญากู้เงินให้แก่จำเลย จึงเป็นกรณีที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมจำเลยจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกงโจทก์ร่วม แม้ต่อมาจำเลยจะนำเงินไปมอบให้แก่ จ.ก็ไม่มีผลทำให้ความผิดที่จำเลยก่อขึ้นจนสำเร็จแล้วกลายเป็นไม่มีความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2531เวลากลางวัน จำเลยปลอมเอกสารสัญญากู้เงินขึ้นทั้งฉบับ โดยเขียนสัญญากู้เงินลงลายมือชื่อนางสาวเชาวดีว่ากู้เงิน 5,000 บาทของนางปิยะมาศผู้เสียหาย และนำสัญญากู้เงินฉบับดังกล่าวไปหลอกลวงผู้เสียหายว่านางสาวเชาวดีได้ขอกู้เงินผู้เสียหายซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วนางสาวเชาวดีไม่ได้ขอกู้เงินผู้เสียหายแต่ประการใด การหลอกลวงและปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงมอบเงิน 5,000 บาท ให้จำเลยไป ต่อมาวันที่10 มีนาคม 2531 เวลากลางวัน จำเลยได้ปลอมเอกสารสัญญากู้เงินขึ้นอีก 1 ฉบับ โดยเขียนสัญญากู้เงินและลงลายมือชื่อของนางจรวยในช่องผู้กู้อ้างว่านางจรวยขอกู้เงินผู้เสียหาย 10,000 บาทและนำสัญญากู้เงินฉบับดังกล่าวไปหลอกลวงผู้เสียหาย ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงมอบเงิน 10,000 บาท ให้จำเลยไป เหตุเกิดที่ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 265, 268, 341 และให้จำเลยคืนเงิน 15,000 บาท แก่ผู้เสียหายกับขอให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 712/2533
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นางปิยะมาศ โสมทัศ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 วรรคสอง และ 341 ความผิดฐานฉ้อโกงและใช้เอกสารปลอมเป็นกรรมเดียวกันผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 เมื่อจำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารที่ใช้ขึ้นด้วย จึงลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมได้แต่กระทงเดียว ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี โดยให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 712/2533 ให้จำเลยคืนเงิน 15,000 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยสำหรับความผิดเกี่ยวกับสัญญากู้เงินที่มีชื่อนางสาวเชาวดี ภัตติชาติ เป็นผู้กู้เพียงกระทงเดียว จำคุก 6 เดือน ให้จำเลยคืนเงิน 5,000 บาทแก่โจทก์ร่วม ให้ยกฟ้องเกี่ยวกับสัญญากู้เงินที่มีชื่อนางจรวยหนูปีหรือกองชิต เป็นผู้กู้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าความผิดเกี่ยวกับสัญญากู้เงินที่มีชื่อนางสาวเชาวดี ภัตติชาติ เป็นผู้กู้นั้น ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนตามกันมาให้จำคุกจำเลยในความผิดกระทงนี้ไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จำเลยเป็นผู้เขียนสัญญากู้เงินและลงลายมือชื่อของนางจรวย และนางจรวยมิได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.2 ด้วยตนเองและไม่มีกฎหมายให้อำนาจให้ลงลายมือชื่อแทนกันได้ สัญญากู้เงินดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่จำเลยทำปลอมขึ้นซึ่งน่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วม พฤติการณ์ที่โจทก์ร่วมจะจ่ายเงินตามสัญญากู้เงินแก่จำเลยเมื่อมีลายมือชื่อผู้กู้ครบถ้วนย่อมแสดงว่าโจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.2 เป็นเอกสารที่แท้จริง การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ เมื่อจำเลยนำเอกสารดังกล่าวไปแสดงต่อโจทก์ร่วมทำให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารสัญญากู้เงินที่นางจรวยลงลายมือชื่อไว้จริง และมอบเงินตามสัญญากู้เงินให้แก่จำเลย จึงเป็นกรณีที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกงโจทก์ร่วม แม้ต่อมาจำเลยจะนำเงินไปมอบให้แก่นางจรวยก็ไม่มีผลทำให้ความผิดที่จำเลยก่อขึ้นจนสำเร็จแล้วกลายเป็นไม่มีความผิดไปได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยได้กระทำความผิดเกี่ยวกับสัญญากู้เงินที่มีชื่อนางจรวย หนูปีหรือกองชิต เป็นผู้กู้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 268 วรรคแรก, 341 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 อีกกระทงหนึ่ง ลงโทษจำคุก 6 เดือนและให้จำเลยคืนเงิน 10,000 บาท แก่โจทก์ร่วม รวมโทษจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 1 ปี และคืนเงินแก่โจทก์ร่วมรวม 15,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์