แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ค้างชำระให้แก่เจ้าพนักงานของโจทก์เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2529 มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงในวันดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่ 16 ตุลาคม2540 และวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าภาษีอากรโจทก์เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว คดีของโจทก์ในส่วนนี้จึงขาดอายุความ
หนี้ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2524 ซึ่งจำเลยได้รับแจ้งการประเมินเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2529 และวันที่ 18มีนาคม 2529 จำเลยไม่ได้ชำระ เมื่อนับถึงวันที่ 16 ตุลาคม 2540และวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้วคดีของโจทก์ส่วนนี้เป็นอันขาดอายุความ
อายุความจะสะดุดหยุดลงได้ก็เมื่อมีกรณีต้องด้วยมาตรา 193/14แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนการยึดทรัพย์ตามประมวลรัษฎากรหาได้เป็นการกระทำอันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงไม่
จำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือยอมรับชำระหนี้ภาษีอากรค้างแก่โจทก์ หนังสือดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้รับสภาพความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/28 วรรคสอง ซึ่งมีผลให้สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่จำเลยรับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าว มีกำหนดอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/35 จำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพความรับผิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 เมื่อนับถึงวันฟ้องวันที่ 25 พฤษภาคม 2542 ยังไม่เกิน 2 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปีภาษี พ.ศ. 2524 จำเลยมีเงินได้จากการขายแร่ดีบุกตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นเงิน 6,432,066.80บาท แต่จำเลยยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเงิน 6,128,473.80 บาท และหักค่าใช้จ่ายไม่ถูกต้อง คิดเป็นภาษีที่จำเลยต้องชำระเพิ่ม 167,963.30 บาท กับเงินเพิ่ม ตามมาตรา 22แห่งประมวลรัษฎากร และในปีภาษี พ.ศ. 2522 ถึง 2525 จำเลยจ่ายค่าใช้จ่ายค่าแรงงานต่าง ๆ โดยมิได้หักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย นำส่งแก่โจทก์ ซึ่งจำเลยยินยอมให้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินภาษีในอัตราร้อยละ 3 คิดเป็นค่าภาษีและเงินเพิ่มรวมจำนวน 53,099.28 บาท จำเลยได้รับหนังสือแจ้งการประเมินแล้วไม่ชำระภาษี และไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน เมื่อวันที่ 12มีนาคม 2529 จำเลยได้ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายจำนวน 2,034.50 บาท คงเหลือยอดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหักณ ที่จ่าย ค้างชำระเป็นเงิน 51,116.58 บาท เมื่อวันที่ 17 มีนาคม2529 เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินเงินเพิ่มภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี พ.ศ. 2524 คิดเป็นเงินเพิ่มภาษี16,796 บาท จำเลยได้รับหนังสือแจ้งการประเมินเมื่อวันที่ 18มีนาคม 2529 แล้วไม่ชำระภาษีและไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 จำเลยนำเงินไปชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย จำนวน 200 บาท อันเป็นการรับสภาพหนี้โดยการชำระหนี้บางส่วน ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจำเลยคงค้างชำระรวมเป็นเงิน 184,759.63 บาทรวมเป็นเงินภาษีที่ค้างชำระทั้งสิ้นจำนวน 235,709.54 บาท ต่อมาวันที่ 16 ตุลาคม 2540 และวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ โจทก์ได้ติดต่อทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 235,709.54บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะเมื่อวันที่ 16มิถุนายน 2535 โจทก์โดยผู้ว่าราชการจังหวัดตรังได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร แต่งตั้งเจ้าพนักงานทำการยึดทรัพย์ที่ดินของจำเลยออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระค่าภาษีอากรค้างแล้ว หนี้ภาษีอากรที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์เป็นหนี้ที่ขาดอายุความแล้ว เพราะโจทก์นำเงินภาษีอากรค้างปี 2524 มาฟ้องคดีเมื่อพ้น10 ปี แล้ว จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน ลายมือชื่อของจำเลยตามใบรับหนังสือแจ้งการประเมินเป็นลายมือปลอมในวันที่ 12 มีนาคม 2529 และวันที่ 5 มีนาคม 2539 จำเลยไม่เคยชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายตามที่โจทก์อ้างจำเลยไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ หนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารท้ายคำฟ้องเป็นเอกสารเท็จ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ได้ความจากนายวรนิตย์ ชำนาญเหมาะนิติกร 5 สำนักงานสรรพากรจังหวัดตรัง พยานโจทก์ว่า จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าภาษีอากรจริง นายวรนิตย์จึงบันทึกคำให้การของจำเลยไว้และจำเลยให้การว่า เคยชำระหนี้ไป 2 ครั้ง ครั้งละ 2,000 บาทแต่จำไม่ได้ว่าชำระเมื่อใด ครั้งที่สอง นางปริก ศรีหมอก เป็นผู้ชำระแทนกรมสรรพากรได้ยึดที่ดินของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ภาษีอากรที่ค้าง จำเลยได้ลงลายมือชื่อไว้ในคำให้การด้วย วันที่ 11 พฤศจิกายน2540 นายวรนิตย์ไปหาจำเลยอีกครั้งหนึ่งเพื่อขอให้จำเลยผ่อนชำระค่าภาษีที่ค้าง จำเลยแจ้งว่าสามารถชำระให้เดือนละ 200 บาท นอกจากนี้นายวรนิตย์ได้สอบถามจำเลยว่า เคยนำเงินไปชำระค่าภาษีที่สำนักงานกรมสรรพากรจำนวน 200 บาท หรือไม่ เพราะมีหลักฐานปรากฏอยู่จำเลยให้การว่า ไม่เคยไปเพราะเดินไม่ได้เนื่องจากถูกกับระเบิด จำเลยยินดีผ่อนชำระเดือนละ 200 บาท โดยครั้งแรกชำระจำนวน 2,034.54บาท ครั้งที่สอง จำนวน 200 บาท นายวรนิตย์อ้างว่าจำเลยชำระค่าภาษีอากรที่ค้างตามหลักฐานการชำระหนี้ค่าภาษีของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 46 และ 47 จำนวน 2,034.54 บาท และ 200 บาทซึ่งก็คือ แบบขอชำระภาษีอากรค้าง ทป.3 ลงวันที่ 12 มีนาคม 2529และวันที่ 5 มีนาคม 2539 อันเป็นการชำระค่าภาษีค้างตามหนังสือใบแจ้งการค้างชำระภาษีอากรเลขที่ 9122/1/03897 ลงวันที่ 30ธันวาคม 2528 จำเลยให้การไว้ต่อนายวรนิตย์ตามเอกสารหมาย จ.4แผ่นที่ 12 ว่า จำเลยเคยนำเงินไปชำระค่าภาษีอากรจำนวน 2 ครั้งครั้งละ 2,000 บาท ครั้งที่ 1 ไปชำระปี พ.ศ. เท่าใดจำไม่ได้ แต่ก่อนที่ให้นางปริก ศรีหมอก ไปชำระครั้งที่ 2 ไปชำระภายหลังที่นางปริกศรีหมอก ไปชำระแทนจำเลย แต่ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ไม่รับชำระเนื่องจากไม่พอดอกเบี้ย จำเลยไม่เคยนำเงินจำนวน 200 บาท ไปชำระ ณสำนักงานสรรพากรอำเภอเมืองตรังเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539เนื่องจากจำเลยป่วยและลายมือชื่อในช่องผู้ชำระภาษีไม่ใช่เป็นลายมือชื่อของจำเลย เห็นว่า ลายมือชื่อในช่องผู้ชำระภาษีอากรตามเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 46 ที่โจทก์อ้างว่า เป็นลายมือชื่อของจำเลยนั้น เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับลายมือชื่ออื่น ๆของจำเลยปรากฏว่าในการลงลายมือชื่อของจำเลยทุกครั้ง จำเลยจะใช้คำว่า นาย นำหน้าชื่ออันเป็นการลงลายมือชื่อด้วย ดังปรากฏตามลายมือชื่อของจำเลยในใบรับลงทะเบียนเอกสารหมาย จ.4แผ่นที่ 9 ด้านหลังและคำให้การตามเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 11ถึงที่ 13 การที่โจทก์อ้างว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 46เป็นลายมือชื่อของจำเลยนั้น จึงไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ชำระภาษีอากรในเอกสารหมายจ.2 แผ่นที่ 46 และฟังไม่ได้ว่าตัวแทนของจำเลยเป็นผู้ชำระภาษีอากรแทนจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยได้ชำระภาษีจำนวน2,043.50 บาท เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2529 อันมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงในวันดังกล่าว แต่เมื่อนับถึงวันที่ 16 ตุลาคม 2540และวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าภาษีอากรโจทก์เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว คดีของโจทก์ในส่วนนี้จึงขาดอายุความ
ส่วนหนี้ค่าภาษีอากรตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้ซึ่งจำเลยได้รับเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2529 และวันที่ 18 มีนาคม 2529ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ชำระหนี้ค่าภาษีแต่ประการใด เมื่อนับถึงวันที่ 16 ตุลาคม 2540 และวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว คดีของโจทก์ส่วนนี้เป็นอันขาดอายุความเช่นกันที่โจทก์อุทธรณ์ว่า คดีนี้มีการยึดทรัพย์สินของจำเลยตามประมวลรัษฎากรเพื่อชำระหนี้ค่าภาษีอากรค้าง อายุความย่อมสะดุดหยุดลงนั้น เห็นว่า อายุความจะสะดุดหยุดลงได้ก็เมื่อมีกรณีต้องด้วยมาตรา 193/14 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งการยึดทรัพย์ตามประมวลรัษฎากรหาได้เป็นการกระทำอันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงไม่
ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อต่อไปมีว่า การที่จำเลยทำหนังสือยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าภาษีต่อโจทก์ อันเป็นเวลาหลังจากคดีขาดอายุความแล้ว โจทก์จะนำคดีมาฟ้องบังคับจำเลยให้รับผิดชำระหนี้ภาษีอากรค้างแก่โจทก์ได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อในหนังสือเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 11ถึง 13 ยอมรับชำระหนี้ภาษีอากรค้างแก่โจทก์แล้ว หนังสือดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้รับสภาพความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/28 วรรคสองซึ่งมีผลให้สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่จำเลยรับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าว มีกำหนดอายุความ2 ปี นับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/35 ดังนั้นเมื่อจำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพความรับผิดดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2540 กับวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 นับจากวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 ถึงวันฟ้องวันที่ 25 พฤษภาคม 2542ยังไม่เกิน 2 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ เมื่อโจทก์มีนายวรนิตย์มาเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นหนี้ภาษีอากรค้างแก่โจทก์จำนวน235,709.54 บาท ตามหนังสือหมาย จ.4 แผ่นที่ 16 และจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งจำนวนหนี้ดังกล่าว จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์
พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 235,709.54 บาทแก่โจทก์