คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ปัญหาว่าคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรวินิจฉัยให้ การยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205(3) เป็นกรณีที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว คำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205(3) จำเลยเคยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ครั้งหนึ่งแล้วศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง เพราะคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่มีข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง เมื่อจำเลยยื่นคำร้องใหม่โดยทำให้ถูกต้องภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับให้จำเลย ศาลชั้นต้นชอบที่จะรับไว้พิจารณา เดิมจำเลยมี ส. เป็นทนายความ ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 2 กรกฎาคม 2530 เวลา 9.00 น. แต่ตามวันเวลาดังกล่าวส.มีกิจธุระซึ่งส. เพิ่งทราบในคืนวันที่ 1 กรกฎาคม 2530ส. จึงแจ้งให้ ก. ทนายความสำนักงานเดียวกันทราบเมื่อวันที่2 กรกฎาคม 2530 เวลา 7.30 น. ขอให้ ก. ว่าความแทนและได้แจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยแต่งตั้ง ก. เป็นทนายความ แต่ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ก. ต้องว่าความในคดีอื่นซึ่งนัดไว้ก่อนแล้ว ก.จึงให้จำเลยไปรอที่บริเวณประชาสัมพันธ์ของศาลชั้นต้น ส่วน ก.ไปว่าความคดีอื่นก่อน จำเลยไม่ทราบว่าประชาสัมพันธ์ของศาลได้ประกาศเรียกคู่ความแล้ว จึงไม่ได้แถลงให้ศาลทราบ เมื่อ ก.ว่าความคดีอื่นเสร็จแล้วได้ไปที่ห้องพิจารณา ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิจารณาคดีเสร็จแล้ว ดังนี้ จำเลยและทนายได้ไปศาลก่อนศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณา แต่เหตุที่ไม่เข้าไปในห้องพิจารณาคดีเพราะจำเลยไม่ทราบว่าได้มีการประกาศเรียกคู่ความแล้ว ส่วนทนายจำเลยก็ต้องว่าความคดีอื่นก่อน จำเลยจึงไม่จงใจขาดนัดพิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ซื้อไม้ชิงชันของจำเลยทั้งสอง แล้วฝากไม้ดังกล่าวไว้แก่จำเลยทั้งสองให้ดูแลรักษาโจทก์จะไปขนไม้ดังกล่าว ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองขายไม้ให้ผู้อื่นไปแล้ว ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันมอบไม้ชิงชันแก่โจทก์ หากส่งมอบให้ไม่ได้ให้ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า ไม่เคยขายไม้และรับดูแลรักษาไม่ให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว และพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง แต่ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยประการแรกว่าคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสองต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งปัญหานี้แม้โจทก์จะเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาแต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ โจทก์ฎีกาประการแรกว่า จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205(3) เห็นว่า การยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 205(3) เป็นกรณีที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียวแต่คดีนี้จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว คำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสองไม่ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 205(3) ส่วนที่โจทก์ฎีกาอีกประการหนึ่งว่า จำเลยทั้งสองเคยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2530ครั้งหนึ่งแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อีกเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2530จึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับไว้พิจารณา นั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสองลงวันที่ 2กรกฎาคม 2530 เพราะคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสองไม่มีข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องใหม่โดยทำให้ถูกต้องได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ ได้ส่งคำบังคับให้จำเลยทั้งสอง ชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับไว้พิจารณา
ปัญหาต่อไปมีว่า ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2530 จำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ ปัญหานี้ได้ความตามทางไต่สวนของศาลชั้นต้นว่า เดิมจำเลยทั้งสองมีนายสุธรรม ปาเฉย เป็นทนายความศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 2 กรกฎาคม 2530 เวลา 9.00 นาฬิกาแต่ตามวันและเวลาดังกล่าวนายสุธรรมมีกิจธุระซึ่งนายสุธรรมเพิ่งทราบในเวลากลางคืนของวันที่ 1 กรกฎาคม 2530 นายสุธรรมจึงแจ้งให้นายกิตติ คุณะเกษม ซึ่งเป็นทนายความสำนักงานเดียวกันทราบเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2530 เวลา 7.30 นาฬิกา และขอให้นายกิตติว่าความคดีนี้แทน นายกิตติตกลง เมื่อจำเลยทั้งสองไปหานายสุธรรมที่สำนักงาน นายกิตติจึงแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบจำเลยทั้งสองแต่งตั้งนายกิตติเป็นทนายความแต่ในวันที่ 2กรกฎาคม 2530 เวลา 9.00 นาฬิกา นายกิตติต้องว่าความในคดีอื่นของศาลชั้นต้นซึ่งนัดไว้ก่อนแล้ว นายกิตติจึงให้จำเลยทั้งสองไปรอที่บริเวณประชาสัมพันธ์ของศาลชั้นต้น ส่วนนายกิตติไปว่าความคดีอื่นก่อนเสร็จแล้วจะตามไป จำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าประชาสัมพันธ์ของศาลชั้นต้นได้ประกาศเรียกคู่ความคดีนี้แล้ว จึงไม่ได้แถลงให้ศาลทราบ เมื่อนายกิตติว่าความคดีอื่นเสร็จแล้วได้ไปที่ห้องพิจารณาคดีนี้ แต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิจารณาคดีเสร็จแล้วนอกจากนี้ยังปรากฏตามใบแต่งทนายความที่จำเลยทั้งสองแต่งตั้งนายกิตติ เป็นทนายความว่า เจ้าพนักงานศาลได้ลงรับไว้เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2530 เวลา 9.10 นาฬิกา และปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2530ว่า ศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาคดีนี้เวลา 9.20 นาฬิกา เพราะต้องพิจารณาคดีอื่นก่อน เห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎดังกล่าวแสดงว่าจำเลยทั้งสองและทนายจำเลยทั้งสองได้ไปศาลก่อนศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาคดีนี้แต่เหตุที่ไม่เข้าไปในห้องพิจารณาคดีเพราะจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าได้มีการประกาศเรียกคู่ความแล้วส่วนทนายจำเลยทั้งสองก็ต้องว่าความในคดีอื่นก่อน จำเลยทั้งสองจึงไม่จงใจขาดนัดพิจารณา
ปัญหาประการสุดท้ายมีว่า โจทก์ซื้อไม้จากจำเลยทั้งสองและฝากไม้ไว้ตามฟ้องหรือไม่ และจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ พยานหลักฐานจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์ไม่ได้ซื้อและฝากไม้ชิงชันไว้แก่จำเลยทั้งสองตามฟ้องแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share