คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาลที่มารดาของบุตรผู้เยาว์ทำขึ้นโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ย่อมไม่ผูกพันบุตรผู้เยาว์
การเข้าครอบครองทรัพย์ตามสัญญาซึ่งจะต้องชำระเงินตอบแทนต่อไป ในบางกรณีอาจถือเป็นการครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของยังมิได้ เพราะเป็นแต่เข้าครอบครองโดยอาศัยความยินยอมของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งภายใต้ข้อผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามสัญญาก่อนที่จะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่กัน
ในกรณีที่มีการฟ้องคดีเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินระหว่างโจทก์จำเลย และมารดาโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาลกับจำเลย โดยจำเลยให้เงินมารดาโจทก์ และมารดาโจทก์ยอมให้จำเลยเข้าครอบครองทรัพย์พิพาทได้ ดังนี้ ถือว่าเป็นการยอมให้เข้าครอบครองดุจเจ้าของโดยเด็ดขาด แม้มารดาโจทก์จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลในระหว่างที่โจทก์เป็นผู้เยาว์ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(4) ก็ตาม แต่เมื่อไม่ได้ความว่ามารดาโจทก์กับจำเลยได้คบคิดกันกระทำการเพื่อให้โจทก์เสียหาย เมื่อจำเลยครอบครองทรัพย์พิพาท (ที่ดิน) มาครบ 10 ปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 17/2509)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินให้โจทก์แต่จำเลยใส่ชื่อเป็นเจ้าของในโฉนด อ้างว่าได้ทำยอมความกับมารดาโจทก์ยอมความนี้โจทก์มิได้รู้เห็นด้วยจึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้อง

จำเลยที่ 1, 2 ให้การว่า พินัยกรรมปลอม เจ้ามรดกยกทรัพย์พิพาทให้นายพิศาล สรรพกิจ และจำเลยที่ 2 เมื่อนายพิศาล สรรพกิจ ตายจำเลยที่ 1และ 3 ได้รับมรดกและครอบครองทรัพย์พิพาทตลอดมาจำเลยที่ 1-2 เคยฟ้องโจทก์กับมารดาโจทก์ และได้ประนีประนอมกันโดยจำเลยใช้เงินให้โจทก์ โจทก์คืนทรัพย์พิพาทให้จำเลย จำเลยได้ออกโฉนดและครอบครองมาเกิน 10 ปีแล้ว

จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทตกเป็นของโจทก์ตามพินัยกรรมแต่จำเลยครอบครองทรัพย์พิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมารดาโจทก์ทำกับจำเลยนอกศาล โดยเสียเงินให้มารดาโจทก์ไป 115,000 บาท ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความมาตั้งแต่ พ.ศ. 2495 แม้สัญญานี้จะมิได้รับอนุญาตจากศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(4) ไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้เยาว์ แต่ก็เป็นพฤติการณ์อันหนึ่งที่แสดงลักษณะการครอบครองของจำเลยได้ว่าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แม้การเข้าครอบครองตามสัญญาซึ่งจะต้องชำระเงินตอบแทนต่อไปในบางกรณีอาจถือเป็นการครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของยังมิได้เพราะเป็นการเข้าครอบครองโดยอาศัยความยินยอมของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งภายใต้ข้อผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามสัญญาก่อนที่จะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่กัน แต่คดีนี้ปรากฏว่ามีคดีพิพาทกรรมสิทธิ์ระหว่างโจทก์จำเลยอยู่แล้ว ตามสัญญาไม่มีกรณีที่จะต้องจดทะเบียนการโอนข้อตกลงที่มารดาโจทก์ยอมให้จำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่วันที่ระบุไว้จึงเป็นการยอมให้เข้าครอบครองดุจเจ้าของโดยเด็ดขาด การชำระเงินเป็นเพียงหนี้อันหนึ่ง ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าที่ศาลล่างฟังว่า จำเลยครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของกว่า10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์นั้นชอบแล้ว แม้มารดาโจทก์จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลในระหว่างที่โจทก์เป็นผู้เยาว์ ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(4) แต่ก็ไม่ได้ความว่ามารดาโจทก์กับจำเลยได้คบคิดกันกระทำการเพื่อให้โจทก์เสียหาย ความข้อนี้จึงไม่ขัดขวางมิให้จำเลยได้สิทธิตามมาตรา 1382 ดังได้วินิจฉัยมาแล้วแต่อย่างใด

จึงพิพากษายืน

Share