คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9873/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องโจทก์ระบุว่าบริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัทจำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลต่างหากจากกัน และตามหนังสือรับรองเอกสารท้ายฟ้องก็ระบุไว้ชัดเจนว่าต่างเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกัน แม้ผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่วนใหญ่จะเป็นญาติพี่น้องกันมีนามสกุลเดียวกันและแม้จะเป็นบริษัทในเครือเดียวกันก็ตาม แต่ตามกฎหมายแล้ว ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างเป็นนิติบุคคลแยกกัน หาใช่เป็นบริษัทเดียวกันไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๒๒,๑๖๑,๕๐๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชำระค่าปรับวันละ ๖๒,๕๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าการก่อสร้างซ่อมแซมอาคารของโจทก์แล้วเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ได้เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน โครงการจัดสรรที่ดินและที่อยู่อาศัยชื่อ รีเจ้นท์ เพลส ๗๑ ของโจทก์ไม่ใช่โครงการจัดสรรบ้านอาศัยระดับหรู แต่เป็นโครงการบ้านพักอาศัยแบบทาวน์เฮาส์ธรรมดา และในการดำเนินการจ้างเหมาก่อสร้างโจทก์ไม่ได้ประกาศเชิญชวนผู้รับเหมาก่อสร้างให้เข้าประมูล แต่ให้บริษัทที่ปรึกษาโครงการของโจทก์ในระยะแรกเป็นผู้ติดต่อจำเลยที่ ๑ ให้เสนอราคาค่าก่อสร้างโดยตรง โจทก์เป็นผู้กำหนดแยกสัญญามาแต่แรกเพราะเห็นว่าถ้าแยกสัญญาว่าจ้างเหมาก่อสร้างและสัญญาซื้อวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างออกจากกัน ทำให้ผู้รับเหมาเสียภาษีน้อยลง โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ ๑ ส่วนวัสดุอุปกรณ์โจทก์ทำสัญญาซื้อจากจำเลยที่ ๒ ต่างหาก สัญญาจ้างก่อสร้างและสัญญาซื้อขายวัสดุก่อสร้างดังกล่าวไม่ใช่สัญญาที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันทำ แต่เป็นสัญญาที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ต่างแยกกันทำกับโจทก์ ไม่ใช่สัญญารับเหมาก่อสร้างในลักษณะที่เป็นสัญญาเบ็ดเสร็จดังที่โจทก์อ้าง ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และบังคับโจทก์ใช้เงินจำนวน ๘,๙๖๙,๒๐๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๖ ต่อปี ของต้นเงิน ๘,๕๗๔,๕๔๓ บาท นับตั้งแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นบริษัทในเครือเดียวกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ร่วมรับเหมาก่อสร้างอาคารในโครงการของโจทก์ โจทก์ตั้งใจแยกสัญญาจ้างก่อสร้างและสัญญาซื้อขายวัสดุก่อสร้างออกจากกันมาแต่แรก เพราะโจทก์ทราบว่าจะต้องเสียภาษีจากยอดรวม จึงจ้างจำเลยที่ ๑ ให้ก่อสร้างแต่เพียงอย่างเดียวส่วนวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างโจทก์ทำสัญญาซื้อจากจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่มีหน้าที่ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในการก่อสร้างอาคาร ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับให้โจทก์ใช้เงินจำนวน ๑๑,๕๑๖,๔๗๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๖ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๑,๐๐๙,๗๒๘ บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๓,๖๔๙,๗๐๒.๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในเงินดังกล่าวจำนวน ๑,๘๔๑,๒๖๘.๒๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ นอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ให้โจทก์ชำระเงินจำนวน ๑๐,๒๒๒,๑๒๘.๑๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๓๕ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๒ กับให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความ ๔๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๓ รับผิดในค่าทนายความดังกล่าว ๒๐,๐๐๐ บาท และให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ ๒ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่จำเลยที่ ๒ ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ ๔๐,๐๐๐ บาท
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เสียด้วย ให้โจทก์ชำระเงินจำนวน ๑,๒๙๒,๕๓๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๓๕ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๑ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีเจตนาร่วมรับผิดตามสัญญาที่ทำกับโจทก์หรือแยกความรับผิดต่างหากจากกัน เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ระบุว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นนิติบุคคลต่างหากจากกัน และตามหนังสือรับรองก็ระบุไว้ชัดเจนต่างเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกัน แม้จะปรากฏว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ส่วนใหญ่จะเป็นญาติพี่น้องกันมีนามสกุลเดียวกันและแม้จะเป็นบริษัทในเครือเดียวกันก็ตาม แต่ตามกฎหมายแล้วต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ต่างเป็นนิติบุคคลหาใช่เป็นบริษัทเดียวกันไม่ ดังนั้น การที่โจทก์ทำสัญญาจ้างก่อสร้าง กับจำเลยที่ ๑ และทำสัญญาซื้อขายวัสดุก่อสร้าง กับจำเลยที่ ๒ แยกต่างหากจากกันโดยไม่มีข้อตกลงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จะร่วมรับผิดด้วยแล้ว ผลของสัญญาดังกล่าวย่อมมีผลผูกมัดเฉพาะ คู่สัญญาที่ทำสัญญาแต่ละฉบับเท่านั้นไม่มีผลผูกพันถึงจำเลยที่ ๑ หรือที่ ๒ ที่มิได้ทำสัญญากับโจทก์ด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำสัญญา โดยเจตนาแยกความรับผิดต่างหากจากกันนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น…
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงินจำนวน ๑,๑๗๗,๑๘๔.๗๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๓๕ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๑ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share