คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1244/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกจากที่ดินและบ้านซึ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าวพร้อมเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 36,000 บาท จำเลยไม่ยื่นคำให้การ และโจทก์บรรยายฟ้องว่าที่ดินและบ้านดังกล่าวหากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 4,500 บาท คดีของโจทก์จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท โจทก์และจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอแสดงอำนาจพิเศษว่าไม่ใช่บริวารของจำเลย โดย ท. ยกที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องทั้งสองในฐานะบุตรสาวและบุตรเขย และศาลชั้นต้นงดการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง และมีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดีบ้านของผู้ร้องทั้งสอง เท่ากับศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วว่าผู้ร้องทั้งสองไม่เป็นบริวารของจำเลย และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คดีระหว่างโจทก์และผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยผู้ถูกฟ้องขับไล่ซึ่งอยู่บนอสังหาริมทรัพย์ และคดีระหว่างโจทก์จำเลยเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งคู่ความในคดีฟ้องขับไล่นั้นต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ว่าศาลจะฟังว่าบุคคลดังกล่าวสามารถแสดงอำนาจพิเศษให้ศาลเห็นได้หรือไม่คดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสาม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2549 โดยจำเลยและบริวารยอมรับว่าอยู่อาศัยในที่ดิน น.ส.3 เล่ม 1 หน้า 158 สารบบเลขที่ 209 ตำบลห้วยชัน อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี และบ้านเลขที่ 65/1 ซึ่งเป็นบ้านเลขที่เดียวกันกับบ้านเลขที่ 65/3 และปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว จำเลยขอเช่าที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวเป็นเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นต้นไป โดยชำระค่าเช่าเป็นงวด หากผิดนัดงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมด ให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที จำเลยชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์เพียง 2 งวด ศาลชั้นต้นจึงตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่โจทก์ขอ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปิดประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี ณ บ้านเลขที่ 65/3 เพื่อแจ้งให้ผู้ที่ไม่ใช่บริวารของจำเลยยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายใน 8 วัน
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า ที่ดินและบ้านดังกล่าวเป็นของผู้ร้องทั้งสอง ผู้ร้องทั้งสองไม่ได้อาศัยโจทก์จำเลยอยู่ในที่ดินและบ้านดังกล่าว ผู้ร้องทั้งสองไม่ใช่บริวารของจำเลย นายทองใบ ได้ยกที่ดินและบ้านดังกล่าวให้ผู้ร้องทั้งสองในฐานะบุตรสาวและบุตรเขย ผู้ร้องทั้งสองครอบครองที่ดินและบ้านดังกล่าวโดยสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของ ตนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับคดีให้ผู้ร้องทั้งสองออกไปจากที่ดินและบ้านดังกล่าวขอให้ยกคำขอบังคับคดีของโจทก์
โจทก์ยื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นให้โจทก์และผู้ร้องทั้งสองจัดทำแผนที่พิพาทซึ่งโจทก์และผู้ร้องทั้งสองยอมรับว่าแผนที่พิพาทที่เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำถูกต้องและโจทก์รับว่าบ้านเลขที่ 65/3 อยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดการไต่สวนคำร้อง และมีคำสั่งว่าแม้โจทก์และจำเลยจะรับว่า บ้านเลขที่ 65/1 กับ 65/3 เป็นบ้านหลังเดียวกันที่ปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมคำพิพากษาดังกล่าวมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความ จึงใช้ยันผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ และสามารถพิสูจน์ได้ว่าบ้านเลขที่ 65/3 ของผู้ร้องทั้งสองไม่ได้อยู่ในที่ดินของโจทก์ จึงเพิกถอนการบังคับคดีบ้านดังกล่าว ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองฝ่ายให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลฎีกาวินิจฉัยภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกจากที่ดินและบ้านซึ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าวพร้อมเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 36,000 บาท จำเลยไม่ยื่นคำให้การ และโจทก์บรรยายฟ้องว่าที่ดินและบ้านดังกล่าวหากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 4,500 บาท คดีของโจทก์จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทโจทก์และจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอแสดงอำนาจพิเศษว่าไม่ใช่บริวารของจำเลย โดยนายทองใบ ยกที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องทั้งสองในฐานะบุตรสาวและบุตรเขย และศาลชั้นต้นงดการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง และมีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดีบ้านของผู้ร้องทั้งสองเท่ากับศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วว่าผู้ร้องทั้งสองไม่เป็นบริวารของจำเลยและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คดีระหว่างโจทก์และผู้ร้องทั้งสองจึงเป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยผู้ถูกฟ้องขับไล่ซึ่งอยู่บนอสังหาริมทรัพย์และคดีระหว่างโจทก์จำเลยเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทซึ่งคู่ความในคดีฟ้องขับไล่นั้นต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ว่าศาลจะฟังว่าบุคคลดังกล่าวสามารถแสดงอำนาจพิเศษให้ศาลเห็นได้หรือไม่ คดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสาม ที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้ร้องทั้งสองไม่สามารถแสดงอำนาจพิเศษในบ้านเลขที่ 65/1 หรือ 65/3 การเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านนั้นไม่จำเป็นต้องปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ โจทก์ก็สามารถเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านได้ เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสาม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง คดีระหว่างผู้ร้องทั้งสองกับโจทก์เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน 13,175 บาท จึงเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เกินมา สมควรสั่งคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินแก่โจทก์
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทะรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท และคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ

Share