คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9862/2542

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์ของจำเลยที่ 2เท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ปรากฏว่ายังไม่ครบกำหนดที่จะต้องปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลชั้นต้นจึงยังไม่ออกหมายบังคับคดีให้ตามคำขอของโจทก์ การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3เพื่อขายทอดตลาด จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278 ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการเพิกถอนการยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเสีย ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 ได้ตามมาตรา 142(5)
การยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการเพิกถอน จึงไม่มีกรณีที่จำเลยที่ 3 จะต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์จำนองที่ยึดใหม่อีก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 4668, 4688 และ 4689 เนื้อที่ 3 โฉนด6,000 ตารางวา เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประเมินราคาที่ดินตารางวาละ750 บาท รวมเป็นเงิน 4,500,000 บาท

จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินดังกล่าวใหม่และงดการประกาศขายทอดตลาดไว้ก่อนโดยจำเลยที่ 3 อ้างว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินดังกล่าวต่ำกว่าราคาที่แท้จริงมาก เพราะเจ้าพนักงานที่ดินเคยประเมินราคาที่ดินดังกล่าวไว้ตารางวาละ 2,500 บาท เมื่อคิดตามราคาประเมินของเจ้าพนักงานที่ดินแล้วที่ดินทั้งสามแปลงจะมีราคารวม 15,000,000 บาทหากเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 3 ไปในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ย่อมทำให้จำเลยที่ 3 เสียหายอย่างมาก

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีเหตุที่จะประเมินราคาที่ดินใหม่และไม่มีเหตุให้งดการประกาศขายทอดตลาด ให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การประเมินราคาที่ดินของเจ้าพนักงานบังคับคดียังไม่มีข้อผูกมัดผู้ที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี จึงยังไม่มีกรณีที่เป็นการโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจยื่นคำร้องคัดค้านการประเมินราคาที่ดินของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 เพื่อขายทอดตลาดเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ปรากฏว่ายังไม่ครบกำหนดที่จะต้องปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลชั้นต้นจึงยังไม่ออกหมายบังคับคดีให้ตามคำขอของโจทก์ ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 เพื่อขายทอดตลาดโดยที่ศาลชั้นต้นยังมิได้ออกหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278 ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการเพิกถอนการยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3ของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเสีย ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่าการยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการเพิกถอน จึงไม่มีกรณีที่จำเลยที่ 3จะต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์จำนองที่ยึดใหม่อีก ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของจำเลยที่ 3 มานั้น ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยในผลปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไป”

พิพากษายืน

Share