คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จากการนำสืบของโจทก์ได้ความจากคำเบิกความของอ.ว่าอ. ได้ลักรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุมาให้จำเลยช่วยขายให้เพราะเคยรู้จักกันมาก่อนจำเลยไม่ยอมช่วยขายแต่บอกว่าท. เพื่อนของจำเลยต้องการจะได้อ. จึงตกลงขายให้ท.ในราคา1,500บาทและมอบรถจักรยานยนต์ให้แก่ท. ไปดังนี้อ. มิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากอ. โดยจำเลยทราบว่ารถของกลางถูกลักมาแต่กลับได้ความว่าจำเลยไม่รับซื้อท. ซึ่งอยู่กับจำเลยด้วยในขณะนั้นจึงรับซื้อจากอ. โดยได้ขอยืมเงินจากจำเลยไปอีก800บาทการที่จำเลยให้ท. ยืมเงินไป800บาทนั้นถือไม่ได้ว่าเป็นการช่วยจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของกลางแต่อย่างใดเพราะท. ตกลงซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากอ. เองอยู่แล้วโดยไม่ต้องให้จำเลยช่วยขายนอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายกับต. และบ. ในทำนองเดียวกันอีกว่าเมื่อผู้เสียหายนำสิบตำรวจโทพ. ไปจับอ. ได้นั้นในตอนแรกอ. ได้บอกแก่สิบตำรวจโทพ. ทันทีว่าได้ลักรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายเพียงคนเดียวและนำไปขายที่อำเภอท่ามะกาโดยไม่ได้ระบุว่าขายให้แก่ผู้ใดหากขายให้แก่จำเลยก็น่าจะระบุชื่อจำเลยทันทีเพราะรู้จักกันโดยไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องปิดบังไว้ประการสำคัญได้ความจากคำเบิกความของนายต. ว่าที่สถานีตำรวจจำเลยบอกว่าจำเลยไม่ได้ซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางแต่คนอื่นซื้อซึ่งเงินไม่พอต้องขอยืมจำเลยไปอีก800บาทตรงกับที่จำเลยนำสืบต่อสู้แม้โจทก์มีพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของอ. ว่าอ. นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายให้แก่จำเลยก็ตามแต่คำให้การของอ. เป็นเพียงพยานบอกเล่ามิได้ทำต่อหน้าจำเลยซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสถามค้านทั้งยังขัดแย้งกับคำเบิกความของอ. เองที่เบิกความว่าอ.ได้ขายรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ท. เช่นนี้คำเบิกความของพนักงานสอบสวนจึงไม่มีน้ำหนักคดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธมาตั้งแต่ต้นและพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาไม่สอดคล้องต้องกันจึงไม่มีน้ำหนักพอฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335, 357, 83
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 2 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาและภายหลังกระทำความผิดจำเลยติดตามรถจักรยานยนต์ที่จำหน่ายคืนให้แก่ผู้เสียหายแสดงว่าจำเลยรู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้นมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ได้มีคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ของนายสมบูรณ์ผู้เสียหายไป ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจได้จับนายเอี้ยวและจำเลยได้ และจำเลยได้นำรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุมาคืนให้ผู้เสียหาย มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้องหรือไม่ จากการนำสืบของโจทก์ได้ความจากคำเบิกความของนายเอี้ยวพยานโจทก์ว่า พยานได้ลักรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุมาให้จำเลยช่วยขายให้เพราะเคยรู้จักกันมาก่อน จำเลยไม่ยอมช่วยขายแต่บอกว่านายทอดเพื่อนของจำเลยต้องการจะได้ พยานจึงตกลงขายให้นายทอดในราคา 1,500 บาทและมอบรถจักรยานยนต์ให้แก่นายทอดไป เห็นว่า นายเอี้ยวมิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากนายเอี้ยวโดยจำเลยทราบว่ารถของกลางถูกลักมา แต่กลับได้ความว่าจำเลยไม่รับซื้อ นายทอดซึ่งอยู่กับจำเลยด้วยในขณะนั้นจึงรับซื้อจากนายเอี้ยวโดยได้ขอยืมเงินจากจำเลยไปอีก 800 บาท การที่จำเลยให้นายทอดยืมเงินไป 800 บาทนั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นการช่วยจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของกลางแต่อย่างใดเพราะนายทอดตกลงซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากนายเอี้ยวเองอยู่แล้วโดยไม่ต้องให้จำเลยช่วยขาย ดังนั้น พยานโจทก์ปากนี้จึงไม่มีน้ำหนักนอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหาย นายติ่งและนายเบาพยานโจทก์ในทำนองเดียวกันอีกว่า เมื่อผู้เสียหายนำสิบตำรวจโทเพชรพยานโจทก์อีกปากหนึ่งไปจับนายเอี้ยวได้นั้นในตอนแรกนายเอี้ยวได้บอกแก่สิบตำรวจโทเพชรทันทีว่าได้ลักรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายเพียงคนเดียว และนำไปขายที่อำเภอท่ามะกาโดยไม่ได้ระบุว่าขายให้แก่ผู้ใด หากขายให้แก่จำเลยก็น่าจะระบุชื่อจำเลยทันทีเพราะรู้จักกันโดยไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องปิดบังไว้ ประการสำคัญได้ความจากคำเบิกความของนายติ่งว่า ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านโป่งจำเลยบอกว่าจำเลยไม่ได้ซื้อรถจักรยานยนต์ของกลาง แต่คนอื่นซื้อซึ่งเงินไม่พอต้องขอยืมจำเลยไปอีก 800 บาท ตรงกับที่จำเลยนำสืบต่อสู้แม้โจทก์มีร้อยตำรวจโทไพรัชพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของนายเอี้ยวเอกสารหมาย จ.7 ว่านายเอี้ยวนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายให้แก่จำเลยก็ตามแต่คำให้การของนายเอี้ยวเป็นเพียงพยานบอกเล่ามิได้ทำต่อหน้าจำเลยซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน ทั้งยังขัดแย้งกับคำเบิกความของนายเอี้ยวเองที่เบิกความว่า นายเอี้ยวได้ขายรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่นายทอด เช่นนี้ คำเบิกความของของร้อยตำรวจโทไพรัชจึงไม่มีน้ำหนัก คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธมาตั้งแต่ต้นและพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาไม่สองคล้องกัน จึงไม่มีน้ำหนักพอฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share