คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5203/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากอาคารที่พิพาทและส่งมอบอาคารที่พิพาทคืนให้แก่โจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกการที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยกล่าวว่าจำเลยไม่เคยรับและไม่เคยทราบหมายเรียกจำเลยคงได้รับแต่เฉพาะคำบังคับเท่านั้น น่าเชื่อว่ามีการจงใจปกปิดหมายต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ส่งถึงจำเลยและเพื่อไม่ให้จำเลยทราบ โจทก์เคยบอกว่าจะให้เงินค่ารื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกไปขอให้จำเลยอย่าสู้คดี จำเลยหลงเชื่อโจทก์จึงแอบฟ้องนั้นเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างซึ่งเป็นเหตุที่จำเลยได้ขาดนัดเท่านั้นหาเป็นข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นไม่ และที่จำเลยกล่าวว่า จำเลยปลูกสร้างอาคารขึ้นไม่เคยยกให้โจทก์ โจทก์เคยตกลงจะยกทาวน์เฮาส์ให้จำเลยอาศัยโดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทน แต่โจทก์ผิดข้อตกลงนั้น เป็นข้ออ้างในทำนองว่าจำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างและเป็นเจ้าของอาคารที่ให้เช่า โดยจำเลยไม่ได้คัดค้านในเนื้อหาคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่าจำเลยมิได้เป็นผู้เช่า หรือสัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนดระยะเวลาเช่าหรือคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ถูกต้องอย่างไร และไม่แสดงเหตุผลว่า หากศาลอนุญาตให้พิจารณาใหม่จำเลยจะชนะคดีได้อย่างไร คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยดังกล่าวไม่ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับ เมื่อวันที่ 2พฤษภาคม2541 จำเลยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ต่อศาลภายในวันที่ 1มิถุนายน2541 จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับแรกเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2541และศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันรุ่งขึ้นให้ยกคำร้องขอ โดยมิได้กำหนดให้จำเลยกระทำการอันใดภายในระยะเวลาที่กำหนดศาลชั้นต้นจึงไม่จำต้องแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยทราบ และการสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ก็ไม่ทำให้ระยะเวลาที่ต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2541 ขยายออกไป และหากจำเลยไปขอทราบคำสั่งศาลในวันที่ 29 พฤษภาคม 2541 แต่ศาลยังไม่สั่ง หรือไปขอทราบคำสั่งศาลในวันที่ 1 มิถุนายน 2541 อันเป็นวันสุดท้ายที่จำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ แต่เจ้าพนักงานศาลบอกว่าหาสำนวนไม่พบจริง จำเลยย่อมทราบดีว่าต้องรักษาสิทธิของจำเลยโดยยื่นคำร้องขอให้ขยายระยะเวลายื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้แต่จำเลยหาได้ยื่นคำร้องขอเช่นนั้นไม่ เมื่อจำเลยมิได้กระทำการดังกล่าวข้างต้นจึงไม่มีเหตุสุดวิสัยที่ศาลชั้นต้นจะสั่งให้ขยายระยะเวลายื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับที่สองเมื่อพ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิยื่นตามมาตรา 208 วรรคแรก ทั้งตามคำร้องขอดังกล่าวก็ไม่ได้กล่าวถึงพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ อันเป็นเหตุให้จำเลยยื่นคำร้องขอล่าช้าคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับที่ฟ้องจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 208 วรรคสอง เช่นเดียวกัน

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากอาคารซึ่งจำเลยทำสัญญาเช่าจากโจทก์และสัญญาครบกำหนดแล้ว “จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากอาคารที่พิพาทและส่งมอบอาคารที่พิพาทคืนให้แก่โจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีก

จำเลยทราบคำบังคับแล้วยื่นคำร้องขอลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2541ขออนุญาตยื่นคำให้การและขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งในวันที่ 29 พฤษภาคม2541 ว่า ตามคำร้องไม่ปรากฏข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลและหากพิจารณาใหม่จำเลยมีเหตุผลใดที่จะชนะคดี คำร้องของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ให้ยกคำร้อง ต่อมาในวันที่ 2 มิถุนายน 2541 จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่อีกฉบับหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องอีกโดยอ้างว่าพ้นกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นตามคำร้องขอทั้งสองฉบับ

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลย ฉบับลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2541 ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง หรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ และเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป จึงบอกกล่าวให้จำเลยกับบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่เช่าได้และพิพากษาให้บังคับจำเลยตามฟ้องที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยกล่าวว่า จำเลยไม่เคยรับและไม่เคยทราบหมายเรียกจำเลยคงได้รับแต่เฉพาะคำบังคับเท่านั้น น่าเชื่อว่ามีการจงใจปกปิดหมายต่าง ๆเพื่อไม่ให้ส่งถึงจำเลยและเพื่อไม่ให้จำเลยทราบ โจทก์เคยบอกว่าจะให้เงินค่ารื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกไป ขอให้จำเลยอย่าสู้คดี จำเลยหลงเชื่อ โจทก์จึงแอบฟ้องนั้นเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างซึ่งเป็นเหตุที่จำเลยได้ขาดนัดเท่านั้น หาเป็นข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นไม่ ส่วนที่จำเลยกล่าวว่า จำเลยปลูกสร้างอาคารขึ้น ไม่เคยยกให้โจทก์ โจทก์เคยตกลงจะยกทาวน์เฮาส์ให้จำเลยอาศัยโดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทน แต่โจทก์ผิดข้อตกลงนั้น เป็นข้ออ้างในทำนองว่าจำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างและเป็นเจ้าของอาคารที่ให้เช่าเท่านั้นแต่ไม่ได้คัดค้านในเนื้อหาคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่าจำเลยมิได้เป็นผู้เช่าหรือสัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนดระยะเวลาเช่าหรือคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ถูกต้องอย่างไรและไม่แสดงเหตุผลว่าหากศาลอนุญาตให้พิจารณาใหม่ จำเลยจะชนะคดีได้อย่างไร คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยดังกล่าวไม่ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 208 วรรคสอง ที่จำเลยฎีกาขอให้สั่งขยายระยะเวลายื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ฉบับลงวันที่ 2 มิถุนายน 2541โดยอ้างว่าศาลชั้นต้นมิได้สั่งคำร้องขอพิจารณาใหม่ฉบับลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2541ในวันที่จำเลยยื่นคำร้องขอ และศาลมิได้แจ้งคำสั่งให้จำเลยทราบ จำเลยไปติดต่อขอทราบคำสั่งเจ้าพนักงานศาลแจ้งว่าหาสำนวนไม่พบ จึงเป็นเหตุสุดวิสัยไม่อาจยื่นภายในกำหนดนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 2พฤษภาคม 2541 จำเลยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ต่อศาลภายในวันที่1 มิถุนายน 2541 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับแรกเมื่อวันที่ 28พฤษภาคม 2541 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันรุ่งขึ้นให้ยกคำร้องขอ โดยมิได้กำหนดให้จำเลยกระทำการอันใดภายในระยะเวลาที่กำหนด ศาลชั้นต้นจึงไม่จำต้องแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยทราบ และการสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ก็ไม่ทำให้ระยะเวลาที่ต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2541 ขยายออกไปและถ้าทนายจำเลยไปขอทราบคำสั่งศาลในวันที่ 29 พฤษภาคม 2541 แต่ศาลยังไม่สั่ง หรือไปขอทราบคำสั่งศาลในวันที่ 1 มิถุนายน 2541 อันเป็นวันสุดท้ายที่จำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ แต่เจ้าพนักงานศาลบอกว่าหาสำนวนไม่พบจริง ทนายจำเลยย่อมทราบดีว่าจะต้องรักษาสิทธิของจำเลยโดยยื่นคำร้องขอให้ขยายระยะเวลายื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้แต่ทนายจำเลยหาได้ยื่นคำร้องขอเช่นนั้นไม่ เหตุผลแห่งคดีไม่เชื่อว่าจำเลยและทนายจำเลยได้กระทำการดังอ้างข้างต้น จึงไม่มีเหตุสุดวิสัยที่ศาลชั้นต้นจะสั่งให้ขยายระยะเวลายื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับที่สองในวันที่ 2มิถุนายน 2541 จึงพ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิยื่นตามมาตรา 208 วรรคแรกทั้งตามคำร้องขอดังกล่าวก็ไม่ได้กล่าวถึงพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้อันเป็นเหตุให้จำเลยยื่นคำร้องขอล่าช้า คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 208 วรรคสอง เช่นเดียวกัน ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งสองฉบับชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share