คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1084/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท นำเช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินที่ธนาคาร แล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย ซึ่งไม่ว่าโจทก์จะนำเช็คเข้าบัญชี ของโจทก์เองเพื่อเรียกเก็บเงิน หรือเข้าบัญชีของผู้อื่นเพื่อเรียกเก็บเงินแทนก็เป็นเพียงรายละเอียดในการนำเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินเท่านั้น ข้อแตกต่างดังกล่าว จึงมิใช่แตกต่างในข้อสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุ ให้ศาลยกฟ้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 รวม 4 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 4 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยกระทงละ3 เดือนและปรับกระทงละ 30,000 บาท รวม 4 กระทงจำคุก 12 เดือน และปรับ 120,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับซึ่งเป็นเช็คผู้ถือให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระโจทก์นำไปเข้าบัญชีของนางศิริกุล ชวนะโรจน์ฤทธิ์ มารดาที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัดสาขาถนนศุภสารรังสรรค์ เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสี่ฉบับ โดยให้เหตุผลเหมือนกันทุกฉบับว่าบัญชีปิดแล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบแก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทเมื่อเช็คถึงกำหนดแม้โจทก์จะนำเข้าบัญชีมารดาเพื่อเรียกเก็บเงินและถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ก็เป็นเพียงการนำเช็คเข้าเรียกเก็บเงินโดยอาศัยบัญชีของมารดาแทนเท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในคดีว่าโจทก์ได้มอบหรือโอนสิทธิอันเกิดแต่เช็คพิพาทให้แก่มารดาโจทก์แล้ว โจทก์ก็ยังคงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทอยู่ในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดีได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4804/2529 ที่จำเลยอ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ไม่อาจนำมาปรับกับคดีนี้ได้ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์นำเช็คพิพาทเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่นำสืบว่านำเช็คพิพาทเข้าเรียกเก็บเงินในบัญชีของมารดาโจทก์ เป็นการนำสืบข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากข้อที่ได้กล่าวในฟ้อง จึงต้องยกฟ้องนั้นเห็นว่า การที่โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท นำเช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินที่ธนาคารตามเช็ค เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย ฉะนั้น ไม่ว่าโจทก์จะนำเช็คเข้าบัญชีของโจทก์เองเพื่อเรียกเก็บเงินหรือเข้าบัญชีของผู้อื่นเพื่อเรียกเก็บเงินแทนก็เป็นเพียงรายละเอียดในการนำเช็คเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินเท่านั้น ข้อแตกต่างดังกล่าวจึงมิใช่แตกต่างในข้อสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องดังที่จำเลยอ้างได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share