คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 985/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่พระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 บัญญัติว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ถือว่าขาดคุณสมบัติและเป็นอันพ้นจากตำแหน่งนั้น เป็นการกำหนด คุณสมบัติทั่ว ๆ ไปของพนักงาน และเป็นบทบัญญัติให้รัฐวิสาหกิจผู้เป็นนายจ้างถือปฏิบัติเป็นแนวเดียวกันเท่านั้น ส่วนจะเป็นการเลิกจ้างหรือไม่ ต้องพิจารณาตาม ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 46 วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว เมื่อจำเลยให้โจทก์ พ้น จากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุ อันเป็นการให้ออกจากงานโดยลูกจ้างมิได้กระทำความผิดตามข้อ 47 จึงเป็นการเลิกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุเป็นการออกจากงานตามกำหนดระยะเวลาจ้างที่แน่นอนจำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ แต่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ ถึงลักษณะงานว่าได้จ้างโจทก์เป็นครั้งคราว เป็นการจรเป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นงานตามโครงการ อันจะถือเป็นกรณีที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง เมื่อเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 ที่แก้ไขใหม่ แม้ศาลวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ไปก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดี

ย่อยาว

โจทก์ทั้งยี่สิบหกสำนวนฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบหกเป็นลูกจ้างทำงานติดต่อกันมาเกินกว่า 3 ปี จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบหกเพราะเหตุเกษียณอายุโดยโจทก์ทั้งยี่สิบหกไม่มีความผิดและจำเลยไม่จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ทั้งยี่สิบหาตามกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งยี่สิบหกพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จจำเลยทั้งยี่สิบหกสำนวนให้การว่า การที่จำเลยรับโจทก์ทั้งยี่สิบหกเข้าทำงาน ต้องอยู่ภายใต้บังคับของสัญญาจ้างแรงงานและพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตราฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518และก่อนเข้าทำงานกับจำเลย โจทก์ทั้งยี่สิบหกทราบดีแล้วว่าเมื่อโจทก์ทั้งยี่สิบหกมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ สัญญาจ้างสิ้นสุดลงโดยผลของกฎหมาย เนื่องจากโจทก์ทั้งยี่สิบหกขาดคุณสมบัติตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 จำเลยจึงจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบหกเข้าทำงานโดยมีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนว่า เมื่อโจทก์ทั้งยี่สิบหกมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบหกโดยโจทก์ทั้งยี่สิบหกไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินใด ๆ จากจำเลยและการที่โจทก์ทั้งยี่สิบหกพ้นตำแหน่งหน้าที่เพราะเหตุเกษียณอายุมิใช่เป็นการถูกเลิกจ้างตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน เพราะมิใช่เป็นการที่จำเลยสั่งให้โจทก์ทั้งยี่สิบหกหยุดงานเพื่อประโยชน์ของจำเลย แต่เป็นการพ้นจากตำแหน่งหน้าที่โดยผลของกฎหมาย เนื่องจากขาดคุณสมบัติการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและดอกเบี้ยให้โจทก์ทั้งยี่สิบหกตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง วันนัดพิจารณาคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าโจทก์ทั้งยี่สิบหกเป็นลูกจ้างประจำของจำเลย ทำงานติดต่อกันมาเกินกว่า 3 ปี ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายตามฟ้อง โจทก์ทั้งยี่สิบหกทราบข้อกำหนดในเรื่องเกษียณอายุเมื่อมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ตั้งแต่เริ่มทำงานโดยไม่คัดค้านจำเลยให้โจทก์ทั้งยี่สิบหกพ้นจากตำแหน่งหน้าที่เพราะเกษียรอายุโดยโจทก์ทั้งยี่สิบหกไม่มีความผิด จำเลยยังไม่จ่ายค่าชดเชยและดอกเบี้ยตามฟ้องแก่โจทก์ทั้งยี่สิบหก คู่ความแถลงไม่สืบพยานศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างดำเนินการให้โจทก์ทั้งยี่สิบหกออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุ คือมีอายุครบ60 ปีบริบูรณ์ เป็นการเลิกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบหกพร้อมดอกเบี้ย พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 77,580 บาท 38,040 บาท 47,670 บาท34,620 บาท 57,750 บาท 49,200 บาท 43,260 บาท 49,200 บาท39,300 บาท 63,360 บาท 54,180 บาท 54,180 บาท 47,670 บาท55,920 บาท 55,920 บาท 41,910 บาท 38,040 บาท 59,580 บาท 73,350 บาท 41,910 บาท 36,870 บาท 49,200 บาท 39,300 บาท 49,200 บาท 44,700 บาท และ 71,280 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 26 ตามลำดับ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งยี่สิบหกสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่าโจทก์ทั้งยี่สิบหกพ้นจากตำแหน่งโดยผลของกฎหมายคือพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518มาตรา 9, 11 ที่แก้ไขแล้ว ไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 เห็นว่าการที่พระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 ที่แก้ไขแล้ว บัญญัติว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ถือว่าขาดคุณสมบัติและเป็นอันพ้นจากตำแหน่งนั้น เป็นการกำหนดคุณสมบัติโดยทั่ว ๆ ไปของพนักงาน และเป็นบทบัญญัติให้รัฐวิสาหกิจผู้เป็นนายจ้างถือปฏิบัติเป็นแนวเดียวกันเท่านั้น ส่วนจะเป็นการเลิกจ้างหรือไม่ ต้องพิจารณาตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคสอง ที่แก้ไขแล้ว ซึ่งได้ให้ความหมายของคำว่าการเลิกจ้างไว้ว่าการที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงาน ปลดออกจากงาน หรือไล่ออกจากงานโดยที่ลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิดตามข้อ 47 อันหมายถึงการที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานไม่ว่ากรณีใด ๆ โดยลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิดตามที่ระบุไว้ ดังนั้นการที่จำเลยดำเนินการให้โจทก์ทั้งยี่สิบหกพ้นจากตำแหน่งตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 เพราะเกษียณอายุจึงเป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ดังกล่าว
จำเลยอุทธรณ์เป็นข้อสุดท้ายว่า การที่โจทก์ทั้งยี่สิบหกออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุ คือมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 9, 11 ที่แก้ไขแล้ว เป็นการออกจากงานตามกำหนดระยะเวลาการจ้างที่แน่นอน จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบหกนั้น เห็นว่าประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 ที่บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องค่าชดเชยได้แก้ไขใหม่โดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ 11) ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2532 ข้อ 7 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2532 ว่า กรณีที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างนั้น นอกจากสัญญาจ้างระหว่างนายจ้างและลูกจ้างจะเป็นสัญญาที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนแล้ว ต้องเป็นการจ้างเพื่อทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวเป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาลหรือเป็นงานตามโครงการด้วย คดีนี้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งยี่สิบหกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2533ซึ่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 11)ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2532 มีผลใช้บังคับแล้ว ผลของการเลิกจ้างจึงต้องบังคับและเป็นไปตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 46 ซึ่งแก้ไขใหม่โดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 11)ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2532 ข้อ 7 เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้ถึงลักษณะงานว่าได้จ้างโจทก์ทั้งยี่สิบหกทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว เป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาลหรือเป็นงานตามโครงการมาด้วย แม้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ไปก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน

Share