แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมบริเวณที่พิพาทเป็นเกาะอยู่กลางแม่น้ำกก ต่อมาแม่น้ำกกเปลี่ยนทางเดินของน้ำลงมาทางทิศใต้ ทำให้ แม่น้ำกกส่วนที่อยู่ระหว่างเกาะกับที่ชายตลิ่งตื้นเขินขึ้นน้ำท่วมไม่ถึง ทำให้เกาะกับตลิ่งเชื่อมติดต่อกันกลายเป็นที่พิพาท ที่พิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (2) แม้โจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมา ก็หามีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่จะยันต่อรัฐได้ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่พิพาทได้
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่า โจทก์ที่ ๑ เรียกโจทก์ในสำนวนที่ ๒ ว่า โจทก์ที่ ๒ และเรียกโจทก์ในสำนวนที่ ๓ ว่า โจทก์ที่ ๓ ส่วนจำเลยทั้งสามคงเรียกตามเดิม
โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนมติของคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ ๑ ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๓๔ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ และพิพากษาว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสามเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสามมิใช่ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ให้เพิกถอนการขึ้นทะเบียนที่ดินสาธารณประโยชน์ของจำเลยที่ ๓ ที่ได้กระทำต่อที่ดินของโจทก์ทั้งสามเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๓๕ และให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามมีจำนวนเนื้อที่และอาณาเขตตามรูปแผนที่โฉนดที่ดินท้ายฟ้อง โดยห้ามมิให้จำเลยทั้งสามขัดขวางการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสาม
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหรือแม้บางส่วนของที่พิพาทเกิดจากการงอกของที่ดินริมตลิ่งก็เป็นการงอกออกจากที่ดินที่ไม่มีผู้ใดมีกรรมสิทธิ์และบางส่วนก็งอกออกจากที่ดินสาธารณประโยชน์ โจทก์ทั้งสามจะอ้างการครอบครองเป็นเหตุให้ได้มาซึ่งที่งอกดังกล่าวไม่ได้ ทั้งการที่โจทก์ทั้งสามเข้าครอบครองที่พิพาทก็เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โจทก์ทั้งสามจะยกอายุความขึ้นต่อสู้แผ่นดินไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามสำนวน
โจทก์ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ที่พิพาทตามฟ้องทั้งสามแปลงเป็นที่ดินติดต่อเป็นผืนเดียวกันตั้งอยู่หมู่ที่ ๓ หมู่บ้านน้ำลัด ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย แปลงที่ ๑ ตามฟ้องสำนวนแรกมีเนื้อที่ ๓๑ ไร่ ๖๔ ตารางวา แปลงที่ ๒ ตามฟ้องสำนวนที่ ๒ มีเนื้อที่ ๓๓ ไร่ ๑ งาน ๓ ตารางวา และแปลงที่ ๓ ตามฟ้องสำนวนที่ ๓ มีเนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน ๑๕ ตารางวา เดิมเป็นที่ดินที่ไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินมีชาวบ้านประมาณ ๓๐ ราย ครอบครองทำประโยชน์อยู่ ต่อมาชาวบ้านหมู่บ้านน้ำลัดต้องการเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งไฟฟ้าเข้าหมู่บ้าน ชาวบ้านประมาณ ๓๐ รายดังกล่าวจึงร่วมกันทำสัญญาขายที่ดินคิดเป็นเนื้อที่รวมกันประมาณ ๙๔ ไร่ ให้แก่นายศรี สันธิ กำนันตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๘ และนายศรีทำสัญญาขายต่อให้แก่นายธนะวิทย์ เลิศวานิชกิจ ซึ่งเป็นบิดาของโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ และเป็นสามีของโจทก์ที่ ๓ ในวันเดียวกันนั้น ตามเอกสารหมาย จ. ๒๔ หลังจากนั้นนายธนะวิทย์เข้าไปครอบครองโดยการล้อมรั้วและปลูกบ้าน ๑ หลัง เลขที่ ๓๘๙ หมู่ที่ ๓ ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย และปลูกพืชล้มลุก ต่อมาวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๔ โจทก์ที่ ๓ ซื้อที่ดินแปลงที่ ๓ เนื้อที่ ๔ ไร่ ๒ งาน ๑๕ ตารางวา พร้อมบ้าน ๑ หลัง เลขที่ ๔๐๖ ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย จากนายสมชาย วรรณชนะ ในปีเดียวกันนั้นนายธนะวิทย์ยกที่ดินแปลงที่ ๒ ซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือให้แก่โจทก์ที่ ๒ และยกที่ดินแปลงที่ ๑ ซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ให้แก่โจทก์ที่ ๑ หลังจากนั้นโจทก์ทั้งสามเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมา ต่อมาในปลายปี ๒๕๒๘ มีชาวบ้านส่วนหนึ่งไม่ระบุชื่อทำหนังสือร้องเรียนไปยังสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงรายว่ากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ที่ดินสมคบกันนำที่ดินสาธารณประโยชน์ไปขายให้แก่นายทุน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงมีคำสั่งให้นายอำเภอเมืองเชียงรายทำการสอบสวน ผลการสอบสวนปรากฏว่าไม่เป็นความจริง แต่ในระหว่างการสอบสวนนั้นนายอำเภอเมืองเชียงรายทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายว่าที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งแม่น้ำกก สมควรนำมาจัดสรรให้ประชาชนอยู่อาศัยและทำกิน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเห็นชอบด้วยจึงทำหนังสือถึงจำเลยที่ ๑ เพื่อขอเงินงบประมาณในการดำเนินงาน แต่จำเลยที่ ๑ แจ้งว่าไม่มีเงินงบประมาณและไม่มีรายละเอียดพอที่จะพิจารณาว่าที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาจัดสรรได้หรือไม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงมีหนังสือหารือไปยังจำเลยที่ ๑ อีกว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่าอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาจัดสรรได้และหากทางอำเภอจะจัดหาเงินงบประมาณดำเนินการเองได้หรือไม่ จำเลยที่ ๑ จึงเชิญผู้แทนจากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาและปรึกษาหารือเสนอความเห็นแนวทางการใช้ที่ดินที่งอกริมตลิ่งแม่น้ำกก คณะกรรมการประชุมปรึกษากันและได้ไปตรวจดู ที่พิพาทแล้วมีมติว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามเอกสารหมาย จ. ๓๘ ชาวบ้านที่ร่วมกันขายที่ดินให้นายศรีจึงทำหนังสือร้องเรียนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายว่ามติดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะเดิมมีชาวบ้านครอบครองที่พิพาทอยู่และขายให้นายธนะวิทย์แล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้นอีกคณะหนึ่ง คณะกรรมการดังกล่าวมีมติว่าที่พิพาทเป็นที่งอกมาจากที่ดินที่มีผู้ครอบครองทำประโยชน์แล้วไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงมีหนังสือแจ้งมติไปยังจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๑ มีหนังสือตอบว่าเพื่อให้ข้อเท็จจริงแน่ชัดให้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายทำการตรวจสอบที่ดินใกล้เคียงกับที่พิพาทแล้วส่งให้จำเลยที่ ๑ พิจารณา แต่จำเลยที่ ๑ กลับมีหนังสือสอบถามมายังจังหวัดเชียงรายว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่าตามมาตรา ๑๓๐๔ (๑) หรือเป็นประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และทางจังหวัดเชียงรายเห็นพ้องด้วยหรือไม่ว่า ที่พิพาทเป็นที่งอกจากที่ดินที่มีผู้ครอบครอง ทางจังหวัดเชียงรายตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งแล้วมีหนังสือแจ้งจำเลยที่ ๑ ว่า ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งแม่น้ำกกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่าและเห็นว่าเป็นที่งอกจากที่ดินที่มีผู้ครอบครองควรออกเอกสารสิทธิให้แก่ผู้ครอบครองได้ แต่จำเลยที่ ๑ นำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ ๑ ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๓๔ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ และที่ประชุมมีมติว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินตามมาตรา ๑๓๐๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิใช่ที่งอกริมตลิ่งตามมาตรา ๑๓๐๘ ส่วนจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่าตามมาตรา ๑๓๐๔ (๑) หรือเป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ให้อยู่ในดุลพินิจของจังหวัดเชียงรายที่จะพิจารณาดำเนินการต่อไป แล้วมีหนังสือแจ้งไปยังจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ พิจารณาแล้วเห็นว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน และมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๓ ดำเนินการเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงต่อไป จำเลยที่ ๓ จึงทำการขึ้นทะเบียนที่พิพาทเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ต่อมาเมื่อต้นปี ๒๕๓๖ จำเลยที่ ๑ จัดให้มีการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินในจังหวัดเชียงราย โจทก์ทั้งสามจึงไปยื่นเรื่องต่อกองกำกับการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินจังหวัดเชียงรายเพื่อขอออกโฉนดที่ดินสำหรับที่พิพาท โดยนำเจ้าหน้าที่ทำการสำรวจรังวัดและพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์จนถึงขั้นเจ้าหน้าที่เตรียมออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสาม แต่เมื่อกลางปี ๒๕๓๖ ทางอำเภอเมืองเชียงรายคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสาม โดยอ้างว่าได้ขึ้นทะเบียน ที่พิพาทเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามก่อนว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมบริเวณที่พิพาทเป็นเกาะอยู่กลางแม่น้ำกก ต่อมาแม่น้ำกกเปลี่ยนทางเดินของน้ำลงมาทางทิศใต้ ทำให้แม่น้ำกกส่วนที่อยู่ระหว่างเกาะกับชายตลิ่งตื้นเขินขึ้นน้ำท่วมไม่ถึง ทำให้เกาะกับตลิ่งเชื่อมติดต่อกันกลายเป็นที่พิพาท ที่พิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม มาตรา ๑๓๐๔ (๒) ดังนั้น แม้โจทก์ทั้งสามได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทตลอดมาก็ตาม หามีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง ที่จะยันต่อรัฐได้ไม่ โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีสิทธิขอให้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่พิพาทได้
พิพากษายืน.