แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์ขายรถยนต์สินสมรสให้แก่บุคคลอื่นโดยที่จำเลยไม่ทราบและได้ระบุในบันทึกคำแจ้งความเรื่องขอโอนและขอรับโอนทะเบียนรถยนต์ว่าโจทก์เป็นโสด มีเหตุให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์ขายรถยนต์สินสมรสเพื่อประโยชน์ของโจทก์เพียงฝ่ายเดียว จึงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง จำเลยย่อมมีสิทธิรักษาประโยชน์ของตนเองได้ ดังนั้นการแจ้งความของจำเลยต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์ฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน จึงเป็นการใช้สิทธิตามที่มีกฎหมายให้อำนาจเพื่อปกป้องและรักษาประโยชน์ในทรัพย์สินของตนตามปกติ จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาท หรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรงที่จะถือว่าเป็นเหตุหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(3) การที่จำเลยฟ้องโจทก์และ พ. เป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาร่วมกันแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จนั้น สืบเนื่องมาจากเหตุที่ได้มีการฟ้องคดีแพ่งและมีการนำยึดที่ดินพร้อมบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลยร่วมกัน และจำเลยก็มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านหลังนี้โดยมีพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยเข้าใจว่าหนี้สินระหว่างโจทก์และ พ. เป็นหนี้สมยอมกันเพื่อกลั่นแกล้งจำเลย การฟ้องคดีอาญาดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการกระทำที่จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่า มีสิทธิกระทำได้ เพื่อป้องกันส่วนได้เสียและป้องกันทรัพย์สินที่จำเลยมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ จึงหาใช่เป็นการหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรงอันจะเป็นเหตุหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(3) ไม่เช่นเดียวกัน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายมีบุตรธิดาด้วยกัน 3 คน จำเลยได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาที่ศาลแขวงพระนครเหนือในข้อหาหรือฐานความผิดแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ซึ่งพฤติการณ์ที่จำเลยฟ้องโจทก์นั้นไม่มีมูลความจริง ต่อมาจำเลยได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธินกล่าวหาโจทก์ในข้อหาหรือฐานความผิดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน โดยกล่าวหาว่าโจทก์แจ้งความต่อนายทะเบียนยานพาหนะว่าโจทก์เป็นโสดในการขายรถยนต์แก่ผู้อื่น และพฤติการณ์ดังกล่าวโจทก์มิได้กระทำผิดตามที่จำเลยกล่าวหาแต่อย่างใด การกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสองกรณีเป็นเหตุให้โจทก์ต้องถูกศาลและเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมตัว อันเป็นการหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์ไม่อาจร่วมอยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยอีกต่อไปได้ ขอให้จำเลยจดทะเบียนหย่ากับโจทก์หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยในการจดทะเบียนหย่าต่อเจ้าพนักงาน
จำเลยให้การว่า ที่จำเลยฟ้องโจทก์และนางพยุรีเป็นจำเลยในข้อหาหรือฐานความผิดแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพราะว่าโจทก์และนางพยุรี ซึ่งเป็นพี่สาวโจทก์ได้สมคบกันฉ้อฉลและแสดงเจตนาลวงโดยให้โจทก์สั่งจ่ายเช็คให้แก่นางพยุรีจำนวน 700,000 บาท ทั้งที่บุคคลทั้งสองไม่มีหนี้สินต่อกัน และนางพยุรีฟ้องโจทก์เพื่อเรียกเงินตามเช็คดังกล่าว ต่อมาก็ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน หลังจากนั้น นางพยุรีได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลย คือที่ดินโฉนดเลขที่ 72202 และ72203 แขวงลาดพร้าว เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมบ้านเลขที่68/12 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดิน 2 แปลงดังกล่าว และทรัพย์สินในบ้านเป็นการละเมิดต่อจำเลย จำเลยจึงจำเป็นต้องป้องกันสิทธิด้วยการฟ้องโจทก์และนางพยุรีดังกล่าว ส่วนที่จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน ก็เพราะโจทก์ได้โอนขายรถยนต์ ยี่ห้อวอลโว่ อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย และโจทก์ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานว่าเป็นโสด โดยได้ลงลายมือชื่อรับรองข้อความดังกล่าวในเอกสารการโอนด้วย ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจำเลยจำเป็นต้องใช้สิทธิตามกฎหมาย การที่โจทก์ต้องถูกควบคุมตัวโดยอำนาจศาลหรืออำนาจของเจ้าพนักงานตำรวจ เป็นเพราะโจทก์เป็นผู้ก่อเรื่องขึ้นเอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาในประการแรกว่า จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน เป็นการหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรงและเป็นเหตุหย่านั้น ในข้อนี้ได้ความว่าโจทก์และจำเลยได้ซื้อรถยนต์ยี่ห้อวอลโว่ เมื่อต้นปี พ.ศ. 2521ภายหลังจากที่สมรสกันแล้ว รถยนต์คันดังกล่าวจึงเป็นสินสมรสที่โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน การที่โจทก์ได้ขายรถยนต์ให้แก่บุคคลอื่นโดยที่จำเลยไม่ทราบ และได้ระบุในบันทึกคำแจ้งความเรื่องขอโอนและขอรับโอนทะเบียนรถยนต์ เอกสารหมาย ล.5 ว่า โจทก์เป็นโสดมีเหตุให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์ขายรถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสเพื่อประโยชน์ของโจทก์เพียงฝ่ายเดียว การที่โจทก์แจ้งสถานะของโจทก์ว่าเป็นโสดซึ่งมีความหมายว่า โจทก์ไม่มีคู่สมรส เช่นนี้จึงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง จำเลยย่อมมีสิทธิรักษาประโยชน์ของตนเองได้ดังจะเห็นว่าจำเลยได้พยายามดำเนินการที่จะให้ได้รับรถยนต์คันนี้กลับมาเป็นส่วนของตน ด้วยวิธีการยื่นคำฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนรถยนต์คันดังกล่าว มีรายละเอียดตามคำฟ้องเอกสารหมาย จ.3 นอกเหนือจากการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธินดังนั้น การแจ้งความของจำเลยดังที่โจทก์อ้างเป็นเหตุหย่าจึงเป็นการใช้สิทธิตามที่มีกฎหมายให้อำนาจเพื่อปกปักและรักษาประโยชน์ในทรัพย์สินของตนตามปกติ ส่วนผลของการแจ้งความจะเป็นประการใดนั้นเป็นอีกส่วนหนึ่ง และไม่เป็นการตัดสิทธิของจำเลยที่จะเลือกแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนดังกล่าว การแจ้งความของจำเลยจึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรงที่จะถือว่าเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(3)คำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างมา ไม่อาจปรับกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฎีกาในข้อต่อไปว่า จำเลยฟ้องโจทก์และนางพยุรี สรสุชาติเป็นจำเลยคดีอาญา ในข้อหาร่วมกันแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จเป็นการหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรงและเป็นเหตุหย่านั้น ในข้อนี้ แม้โจทก์จะอ้างในฎีกาว่าผลของคดีศาลพิพากษายกฟ้อง และคดีถึงที่สุดไปแล้วก็ตาม แต่มูลเหตุที่จำเลยดำเนินคดีกับโจทก์และนางพยุรี มีเหตุที่สมควรทำให้จำเลยเข้าใจได้ว่าหนี้สินที่โจทก์จะต้องชำระให้แก่นางพยุรีผู้เป็นพี่สาวของโจทก์เองมียอดจำนวนหนี้ถึง 700,000 บาท โดยที่โจทก์และจำเลยต่างประกอบอาชีพมีรายได้ที่แน่นอนเป็นจำนวนมากพอสมควร ไม่น่าจะเป็นหนี้สินที่โจทก์ต้องชำระให้แก่นางพยุรีเป็นจำนวนมากดังกล่าว จึงเป็นหนี้ที่สมยอมกันเพื่อกลั่นแกล้งจำเลยให้ต้องถูกบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำเลยเป็นเจ้าของรวม ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากนางพยุรีฟ้องคดีเรียกเงินตามเช็คจากโจทก์แล้วในชั้นบังคับคดีต่อมา ได้มีการนำยึดที่ดิน 2 แปลงพร้อมบ้านเลขที่ 68/12 ที่ปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลยร่วมกัน ในคำให้การของจำเลยก็ระบุว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านหลังนี้ จากพฤติการณ์ที่ปรากฏในคดีดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าจำเลยต้องเข้าใจว่า การถูกยึดทรัพย์เป็นผลมาจากการกลั่นแกล้งของโจทก์โดยความร่วมมือของนางพยุรี ดังนั้น ที่จำเลยฟ้องคดีอาญากล่าวหาโจทก์และนางพยุรีว่าร่วมกันแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ จึงเป็นการกระทำที่จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่า จำเลยมีสิทธิกระทำได้ เพื่อป้องกันส่วนได้เสีย และปกป้องทรัพย์สินของจำเลย ที่จำเลยมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกรณีเช่นนี้ หาใช่เป็นการหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1516(3) ไม่ เช่นเดียวกับฎีกาในข้อแรกของโจทก์ ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเกินควรเมื่อคำนึงถึงสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยามาคำนึงประกอบ จึงควรพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกันนั้น ฎีกาในข้อนี้ของโจทก์เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน.