แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ดำเนินการบังคับคดีโดยนำยึดที่ดิน1แปลงอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แต่มีเหตุที่จะต้องถอนการยึดทรัพย์สินนั้นโจทก์ย่อมมีหน้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดไม่มีการขายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา149และตาราง5ข้อ3ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งทั้งนี้โดยต้องชำระต่อศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยไม่คำนึงว่าโจทก์จะได้นำยึดโดยสุจริตและเป็นผู้ขอให้ถอนการยึดหรือไม่หากโจทก์ไม่ยอมชำระก็อาจถูกบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา295ตรีไม่ใช่เรื่องของความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีศาลจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจกำหนดให้ฝ่ายจำเลยต้องรับผิดแทนฝ่ายโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา161
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 703 ตำบล วัดอรัญญิก อำเภอ เมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก อ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา ต่อมาวันที่ 10 เมษายน 2533เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งแก่โจทก์ว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดแปลงนี้มีคำพิพากษาของศาลฎีกาพิพากษาว่า เป็นที่ดินของบุคคลที่สามไม่ใช่ที่ดินของจำเลย จะถอนการยึด ให้โจทก์เป็นผู้รับผิดชอบเสียค่าธรรมเนียมถอนการยึดและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 99,030 บาท โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์นำยึดที่ดินดังกล่าวโดยสุจริต ไม่เคยปรากฏข้อโต้แย้งคัดค้านการยึดจากผู้ใด ขอศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งให้ค่าธรรมเนียมการถอนการยึดและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้โจทก์เสียตกเป็นพับ (คืออนุญาตให้ไม่ต้องชำระ)
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุจะต้องไต่สวนคำร้อง ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า คดีนี้โจทก์มิได้ฎีกาโต้เถียงว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมยึดไม่มีการขายนั้นเป็นการไม่ถูกต้องอย่างไร โจทก์ฎีกาโต้เถียงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เฉพาะที่เกี่ยวกับค่าธรรมเนียมยึดไม่มีการขายหรือที่โจทก์เรียกว่าค่าธรรมเนียมถอนการยึดเท่านั้น โดยกล่าวอ้างว่า การนำยึดที่ดินรายนี้โจทก์กระทำโดยสุจริต และมิได้เป็นฝ่ายขอให้ถอนการยึด ทั้งการที่จำเลยต่อสู้กับบุคคลภายนอกจนศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดมิใช่ของจำเลยนั้น ก็เป็นพฤติการณ์ที่โจทก์มิได้ล่วงรู้มาก่อน โจทก์จึงไม่ควรที่จะต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดไม่มีการขาย ความรับผิดในค่าธรรมเนียมดังกล่าวควรตกอยู่แก่ฝ่ายจำเลย เพราะเป็นค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ดังนี้ ประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย คงรับวินิจฉัยเฉพาะประเด็นเรื่องค่าธรรมเนียมยึดไม่มีการขายเท่านั้น ซึ่งข้อเท็จจริงตามคำร้องของโจทก์ฟังได้ว่า โจทก์เป็นฝ่ายดำเนินการบังคับคดีโดยไม่นำยึดที่ดิน 1 แปลง อ้างว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ แต่มีเหตุที่จะต้องถอนการยึดทรัพย์สินนั้นเห็นได้ว่าในกรณีเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีหน้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดไม่มีการขายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 149 และตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งทั้งนี้โดยต้องชำระต่อศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยไม่คำนึงว่าโจทก์จะได้นำยึดโดยสุจริต และเป็นผู้ขอให้ถอนการยึดหรือไม่หากโจทก์ไม่ยอมชำระก็อาจถูกบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 ตรี ไม่ใช่เรื่องของความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดี ศาลจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจกำหนดให้ฝ่ายจำเลยต้องรับผิดแทนฝ่ายโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตตามคำร้องของโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ