คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3254/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีโจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากสามีจำเลย ในระหว่างสัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนดสามีจำเลยถึงแก่ความตาย แม้ว่าจำเลยยอมให้โจทก์และสามีโจทก์อยู่ในที่ดินที่เช่าต่อมาภายหลังจากที่ครบกำหนดเวลาเช่าแล้ว อันจะถือได้ว่าเป็นการทำสัญญาเช่าที่ดินใหม่ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่าโจทก์อยู่ในที่ดินที่เช่าโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าของสามีโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญา หากจำเลยประพฤติผิดสัญญาเช่าก็ชอบที่สามีโจทก์ในฐานะผู้เช่าจะต้องว่ากล่าวเอาแก่จำเลยในฐานะที่เป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของสามีจำเลยผู้ให้เช่าเอง เมื่อสามีโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยจนกระทั่งสามีโจทก์ถึงแก่ความตาย สัญญาเช่าย่อมเป็นอันระงับไป โจทก์ซึ่งเป็นภริยาของผู้เช่าไม่มีอำนาจเข้าสวมสิทธิการเช่าของสามีโจทก์ผู้ตายที่ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาเช่าจากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายเงินจำนวน ๒๐๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สัญญาเช่าที่ดินทำขึ้นระหว่างนายเฉลียวสามีโจทก์และนายศิริหรือเหมียงสามีจำเลย โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาจึงไม่มีอำนาจฟ้อง และเมื่อครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญานายเฉลียวมิได้ทำสัญญาเช่าที่ดินต่อและไม่ได้ปลูกอ้อยใหม่เพียงแต่เก็บผลผลิตจากหน่ออ้อยเดิม สัญญาเช่าที่ดินจึงสิ้นสุดลงและไม่เป็นการทำสัญญาเช่าที่ดินต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายศิริหรือเหมียงมีสิทธิให้นายวัชรชัย เนตรสว่าง ทำสัญญาเช่าที่ดินได้โดยชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า สามีโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินที่สามีโจทก์และโจทก์ปลูกอ้อยส่งขายให้แก่สามีจำเลย เมื่อสามีจำเลยถึงแก่ความตาย จำเลยจึงเป็นผู้รับซื้ออ้อยจากสามีโจทก์และโจทก์แทน ดังนั้น โจทก์จึงมิได้เป็นคู่สัญญาหรือผู้เช่าที่ดินตามเอกสารหมาย จ.๑ ต้องถือว่าโจทก์อยู่ในที่ดินที่เช่าโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าของสามีโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญา แม้จำเลยยอมให้โจทก์และสามีโจทก์อยู่ในที่ดินที่เช่าต่อมาภายหลังจากที่ครบกำหนดเวลาเช่าแล้ว อันจะถือได้ว่าเป็นการทำสัญญาเช่าที่ดินใหม่ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาก็ตาม สิทธิการเช่าก็ยังคงเป็นของสามีโจทก์มิใช่ของโจทก์ หากจำเลยประพฤติผิดสัญญาเช่าก็ชอบที่สามีโจทก์ในฐานะผู้เช่าจะต้องว่ากล่าวเอาแก่จำเลยในฐานะที่เป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของสามีจำเลยผู้ให้เช่าเอง เมื่อสามีโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยจนกระทั่งสามีโจทก์ถึงแก่ความตาย โจทก์ซึ่งเป็นภริยาของผู้เช่าก็ไม่มีอำนาจเข้าสวมสิทธิการเช่าของสามีโจทก์ผู้ตายที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาเช่าจากจำเลยได้ เพราะสิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่า เมื่อผู้เช่าถึงแก่ความตาย สัญญาเช่าย่อมเป็นอันระงับไป ส่วนที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า หลังจากครบกำหนดเวลาเช่าโจทก์ได้เป็นผู้เช่าและเข้าทำประโยชน์ในที่ดินที่เช่าโดยอาศัยสิทธิของโจทก์เองด้วยนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์และจำเลยมิได้ทำหนังสือสัญญาเช่าต่อกัน และรายการส่งอ้อยให้แก่จำเลยหลังจากครบกำหนดเวลาเช่าตามเอกสารหมาย จ.๔ ถึง จ.๗ ออกให้ในนามของสามีโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือระหว่างโจทก์กับจำเลย การส่งอ้อยให้แก่จำเลย ดังกล่าวจึงเป็นการกระทำในนามของสามีโจทก์ผู้เช่า ไม่ก่อให้เกิดสัญญาเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่า โจทก์เป็นผู้เช่าดังอ้าง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share