แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เกิดเหตุเวลากลางคืนใกล้เวทีชกมวยซึ่งมีแสงสว่างเห็นได้ถนัด แม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยยิงผู้ตาย แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อเสียงปืนดัง ขึ้นมี บ. พยานซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมองไปตามเสียงปืนเห็นจำเลยกับพวกอีก 1 คน ยืนถืออาวุธปืนอยู่คนละกระบอกแล้ววิ่งผ่าน ม. พยานอีกคนหนึ่งเข้าป่าไป ขณะนั้นเจ้าหน้าที่สายตรวจทราบเหตุทางวิทยุจึงขับรถมายังที่เกิดเหตุพบจำเลยกับพวกคนหนึ่งเดิน อยู่จึงขอตรวจค้นจำเลยกับพวกวิ่งหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนแล้วพาจำเลยมายังที่เกิดเหตุ ม. ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเบิกความว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่วิ่งผ่านพยานหนีเข้าป่าไปและหลังเกิดเหตุสิบกว่าวัน บ. มาดู ตัวจำเลยและยืนยันว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งในจำนวนสองคนที่ยืนถืออาวุธปืนอยู่ในที่เกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุมีแต่จำเลยกับพวกเท่านั้นที่ถืออาวุธปืนอยู่ เสียงปืนดัง มาจากกลุ่มของจำเลยกับพวกซึ่งมีเพียง2 คน พฤติการณ์ดังนี้ถ้า จำเลยไม่ได้ยิงพวกของจำเลยก็ต้องยิงการที่จำเลยวิ่งหนีไปพร้อมกับพวกโดยถืออาวุธปืนไปด้วยแสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันที่จะยิงผู้ตาย พยานโจทก์ดังกล่าวจึงฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2531 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยกับพวกอีกคนหนึ่งได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นคนละกระบอกยิงนายเลี่ยม ขุนโต ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลวังนกแอ่น อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เจ้าพนักงานจับจำเจำเลยได้ในวันเกิดเหตุ พร้อมด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้นไม่มีหมายเลขทะเบียน 1 กระบอก กับกระสุนปืน 1 นัด จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 394/2531 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 288 นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 394/2531 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ลงโทษจำคุก 20 ปี ให้นับโทษต่อจากโทษคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 394/2531 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบและจำเลยไม่โต้แย้งว่า ผู้ตายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงถึงแก่ความตายตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ เมื่อมีเสียงปืนดังขึ้นนายบุญช่วย แพงชาวนา ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมองไปตามเสียงปืนเห็นคนแปลกหน้า 2 คน ยืนถืออาวุธปืนอยู่คนละกระบอกแล้ววิ่งผ่านนายไหม สิงห์รอ หนีเข้าป่าไป สิบตำรวจเอกถวิล แสนสม ตำรวจสายตรวจทราบเหตุทางวิทยุจึงขับรถมายังที่เกิดเหตุพร้อมด้วยพลตำรวจนพดลพบจำเลยนี้กับพวกคนหนึ่งเดินอยู่จึงขอตรวจค้นจำเลยกับพวกวิ่งหนีพลตำรวจนพดลจับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืน สิบตำรวจเอกถวิลพาจำเลยมายังที่เกิดเหตุ นายไหมซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเบิกความเป็นพยานโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่วิ่งผ่านนายไหมหนีเข้าป่าไปตำรวจดำเนินคดีแก่จำเลยข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตและสืบทราบว่านายบุญช่วยเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ที่คนร้ายยิงผู้ตายจึงตามนายบุญช่วยมาดูตัวจำเลยหลังเกิดเหตุสิบกว่าวัน นายบุญช่วยมาเบิกความเป็นพยานโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งใน่จำนวน2 คน ที่ยืนถืออาวุธปืนอยู่ในที่เกิดเหตุ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าที่ยืนถืออาวุธปืนอยู่ในที่เกิดเหตุ แล้ววิ่งหนีไปหรือไม่ และจำเลยนี้ได้ใช้อาวุธยิงผู้ตายหรือร่วมกับพวกยิงผู้ตายหรือไม่ ปัญหาว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าในคืนเกิดเหตุหรือไม่ โจทก์มีนายไหมซึ่งได้เห็นจำเลยอีกภายหลังเห็นคนแปลกหน้าวิ่งผ่านไปเพียง2-3 ชั่วโมง กับนายบุญช่วยซึ่งได้เห็นจำเลยอีกหลังจากเห็นคนแปลกหน้าถืออาวุธปืนอยู่ในที่เกิดเหตุและวิ่งหนีไปสิบกว่าวันมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งใน 2 คน ที่เป็นคนร้ายยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาเห็นว่า คนร้ายทั้งสองเป็นคนแปลกหน้าย่อมมีลักษณะเด่นสะดุดตาพยาน ทั้งจำเลยนี้มีลักษณะเตี้ยตรงตามลักษณะคนร้ายที่พยานทั้งสองเบิกความถึง ยิ่งพิเคราะห์ภาพถ่ายตามเอกสารหมาย จ.2 จะเห็นว่าจำเลยมีลักษณะเตี้ยเป็นพิเศษเป็นลักษณะเด่นชัดให้จำได้ง่าย พยานได้เห็นจำเลยหลังจากเห็นคนร้ายวันเกิดเหตุไม่นานย่อมจะจำคนร้ายได้ แม้เกิดเหตุกลางคืน แต่เกิดเหตุใกล้เวทีชกมวยย่อมมีแสงสว่างเห็นได้ถนัดและไม่ปรากฎว่าพยานรู้จักจำเลยมาก่อนจึงไม่มีสาเหตุกับจำเลยทั้งไม่มีส่วนได้เสียในคดีหรือเป็นญาติกับผู้ตายจึงไม่มีเหตุต้องสงสัยว่าพยานจะเบิกความปรักปรำจำเลย จึงเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่พยานเห็นในเวลาเกิดเหตุ ที่จำเลยอ้างว่าได้ยืนดูศพผู้ตายประเดี๋ยวหนึ่งจึงกลับไปนั้น เห็นว่าเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ได้เพราะจำเลยพกอาวุธปืนอยู่ในเวลาเกิดเหตุยิงกันตำรวจอาจตรวจค้นผู้อยู่ในบริเวณเกิดเหตุได้ทุกคน จำเลยย่อมเข้าใจความจริงข้อนี้และคงไม่รอให้ตำรวจตรวจค้นได้ แม้เมื่อจำเลยเดินอยู่ระหว่างทางจำเลยยังวิ่งหนีตำรวจ ดังที่จำเลยเบิกความข้ออ้างของจำเลยไม่พอฟังหักล้างพยานโจทก์ ปัญหาต่อไปว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหรือร่วมกับพวกยิงผู้ตายหรือไม่นั้น ในข้อที่ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหรือไม่นั้นไม่มีผู้ใดรู้เห็น แต่ขณะเกิดเหตุมีแต่จำเลยกับพวกเท่านั้นถืออาวุธปืนอยู่ เสียงปืนดังขึ้นจากกลุ่มของจำเลยกับพวกซึ่งมีเพียง 2 คน ถ้าจำเลยไม่ได้ยิงพวกของจำเลยก็ต้องยิงการที่จำเลยวิ่งหนีไปพร้อมกับพวกโดยถืออาวุธปืนไปด้วยกันเช่นนี้แสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันที่จะยิงผู้ตาย จึงฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย และมีความผิดตามฟ้องของโจทก์ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษา.