แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่เอกชนผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องว่า เป็นผู้ครอบครองที่ดินตาม น.ส. ๓ ได้ยื่นคำขอรังวัดเพื่อออกโฉนด แต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถรังวัดออกโฉนดให้ได้ เนื่องจากมีการออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๑ ซึ่งเป็นของผู้อื่นทับซ้อนกับ น.ส. ๓ ของผู้ฟ้องคดี ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๑ และให้ออกโฉนดให้แก่ผู้ฟ้องคดี เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๖๗/๒๕๕๙
วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๙
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองเพชรบุรี
ระหว่าง
ศาลจังหวัดเพชรบุรี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองเพชรบุรีโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ นางสมพร พลายแก้ว ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง กรมที่ดิน ที่ ๑ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี สาขาชะอำ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองเพชรบุรี เป็นคดีหมายเลขดำ ที่ ๒๑/๒๕๕๘ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๔๖ หมู่ที่ ๕ ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ ๔๐ ไร่ ๒ งาน ๑๗ ตารางวา ต่อมาผู้ฟ้องคดียื่นคำขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดิน ตามคำขอฉบับที่ ๔/๕๖ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๗ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ไม่สามารถทำการรังวัดออกโฉนดให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ เนื่องจากมีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๘๑๑ ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ทับซ้อนกับ น.ส. ๓ เลขที่ ๔๖ ของผู้ฟ้องคดี ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ไม่สามารถเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๘๑๑ ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และให้ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินตามน.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๑ เนื้อที่ ๑๓๐ ไร่ ๓ งาน ๖๐ ตารางวา มีชื่อบริษัทชะอำ แคมปัสซิตี้ จำกัด เป็นผู้ครอบครอง การที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี สาขาชะอำ มีคำสั่งยกเลิกคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี เนื่องจาก ปรากฏว่าหลักฐานตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๔๖ ที่ผู้ฟ้องคดีนำมายื่นขอออกโฉนดที่ดินทับซ้อนกับ น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๑ และผู้ฟ้องคดีได้ยกเลิกคำขอโดยแจ้งว่าจะดำเนินการทางศาลด้วยตนเอง เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่เป็นที่ยุติว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีหรือบริษัทชะอำ แคมปัสซิตี้ จำกัด มีสิทธิครอบครอง จึงยังไม่มีเหตุให้ต้องเพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๑ และออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด คำสั่งของเจ้าพนักงานที่จังหวัดเพชรบุรี สาขาชะอำ ที่ให้ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดีจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ให้การว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีไม่ยอมรังวัดออกโฉนดที่ดินและขอยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดิน เจ้าหน้าที่จึงไม่สามารถสอบสวนพิสูจน์สิทธิว่า ที่ดินแปลงที่ผู้ฟ้องคดีนำทำการรังวัดออกโฉนดที่ดินถูกต้องตรงตามตำแหน่งในหลักฐานตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๔๖ หรือไม่ และไม่อาจพิจารณาได้ว่าที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๑ บางส่วนออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีตามหลักฐาน น.ส. ๓ เลขที่ ๔๖ หรือไม่ อย่างไร เพราะที่ดินตามหลักฐาน น.ส. ๓ เป็นเพียงรูปลอยโดยประมาณที่ปรากฏในหลักฐาน น.ส. ๓ เท่านั้น จึงไม่สามารถชี้ชัดหรือพิสูจน์ได้ว่า น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๑ บางส่วน ออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ดังนั้น ไม่อาจเพิกถอนหรือแก้ไข น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๑ ได้
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองเพชรบุรีพิจารณาแล้ว เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดจากการที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินที่มีอำนาจออกโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่ดำเนินการเพื่อออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี คำฟ้องในข้อหานี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ นอกจากนั้น ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างในคำฟ้องด้วยว่า น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๑ ตำบลไร่ใหม่พัฒนา (ห้วยทรายเหนือ) อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ออกให้เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๓๓ ออกทับซ้อนกับที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๔๖ หมู่ที่ ๕ ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ออกให้เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๑๙ ที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจหน้าที่สั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกแก่ผู้ใดโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๘๑๑ ดังกล่าว คำฟ้องในข้อหานี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแม้ว่าการที่ศาลจะมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน แต่ก็เป็นประเด็นเกี่ยวพันที่ศาลปกครองมีอำนาจที่จะวินิจฉัยก่อน เพื่อที่จะวินิจฉัยประเด็นหลักแห่งคดีเกี่ยวกับการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๘๑๑ ตำบลไร่ใหม่พัฒนา (ห้วยทรายเหนือ) อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งอำนาจหน้าที่โดยตรงของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และโดยที่การพิจารณาและการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องพิจารณาสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานต่างๆ รวมทั้งพยานเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของฝ่ายปกครอง อันเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญแล้วจึงจะพิจารณาว่า ระหว่างผู้ฟ้องคดีใครเป็นผู้มีสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงพิพาทประกอบกับคำขอของผู้ฟ้องคดีที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์และให้ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี อันเป็นความประสงค์ของผู้ฟ้องคดีที่ต้องการให้ได้รับความเยียวยาความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการใช้สิทธิทางศาลในคดีนี้ เป็นคำขอที่กฎหมายกำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับให้ได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิในที่ดินของบุคคลโดยการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินและให้บริการในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนมีอำนาจดำเนินการให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นการให้อำนาจตามกฎหมาย คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดเพชรบุรีพิจารณาแล้ว เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๔๖ หมู่ที่ ๕ ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และได้ยื่นคำขอทำการรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดิน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ไม่ดำเนินการให้ อ้างว่า มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๘๑๑ ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อันเป็นการทับซ้อนกันและขอให้ศาลเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) แล้วดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ชี้แจงว่า มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองฉบับทับซ้อนกัน จึงยังไม่เป็นที่ยุติว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือบริษัทชะอำ แคมปัสซิตี้ จำกัด เห็นว่า จากคำฟ้องและคำชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีมีประเด็นที่ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของผู้ฟ้องคดีหรือผู้มีชื่อตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ที่ออกทับซ้อนกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) ของผู้ฟ้องคดี แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปว่าจะต้องเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ของผู้มีชื่อแล้วดำเนินการรังวัดออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน และแม้ว่าผู้ฟ้องคดีจะไม่ได้ฟ้องผู้มีชื่อมาด้วยก็ตาม แต่เมื่อได้ความว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ทำคำชี้แจงซึ่งหมายถึง ให้การต่อสู้คดีเพียงประเด็นเดียวว่า สิทธิของผู้ฟ้องคดีกับผู้มีชื่อนั้นใครมีสิทธิดีกว่า ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ย่อมดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไปได้ภายหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแสดงสิทธิให้กับผู้ฟ้องคดีหรือผู้มีชื่อ ทั้งได้มีคำขอให้เรียกผู้มีชื่อเข้ามาในคดีด้วยแล้ว แม้ไม่ปรากฏว่าศาลปกครองเพชรบุรีได้มีคำสั่งอนุญาตแล้วก็ตาม ก็เป็นอำนาจและดุลพินิจของศาลที่มีอำนาจพิจารณาที่จะวินิจฉัยว่า สมควรจะเรียกผู้มีชื่อเข้ามาเป็นผู้ถูกฟ้องคดีหรือเป็นคู่ความร่วมด้วยหรือไม่ต่อไป คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือศาลยุติธรรม
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นเป็นหน่วยงานทางปกครอง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๔๖ หมู่ที่ ๕ ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ต่อมาผู้ฟ้องคดียื่นคำขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดิน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ไม่สามารถรังวัดออกโฉนดให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ เนื่องจากมีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๘๑๑ ทับซ้อนกับ น.ส. ๓ เลขที่ ๔๖ ของผู้ฟ้องคดี ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๘๑๑ และให้ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามให้การสอดคล้องกันว่า ที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๑ มีชื่อบริษัทชะอำ แคมปัสซิตี้ จำกัด เป็นผู้ครอบครอง การที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี สาขาชะอำ มีคำสั่งยกเลิกคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดี เนื่องจาก ปรากฏว่าหลักฐานตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๔๖ ที่ผู้ฟ้องคดีนำมายื่นขอออกโฉนดที่ดินทับซ้อนกับ น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๑ และผู้ฟ้องคดีได้ยกเลิกคำขอโดยแจ้งว่าจะดำเนินการทางศาลด้วยตนเอง เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่เป็นที่ยุติว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีหรือบริษัทชะอำ แคมปัสซิตี้ จำกัด เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง จึงยังไม่มีเหตุให้ต้องเพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๒๘๑๑ และออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด คำสั่งของเจ้าพนักงานที่จังหวัดเพชรบุรี สาขาชะอำ ที่ให้ยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินของผู้ฟ้องคดีจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีว่า การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๘๑๑ ทับซ้อนกับที่ดิน น.ส. ๓ เลขที่ ๔๖ ของผู้ฟ้องคดี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอน และให้ออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีก็ตาม แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ดำเนินการตามคำขอของผู้ฟ้องคดีนั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสมพร พลายแก้ว ผู้ฟ้องคดี กรมที่ดิน ที่ ๑ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ ๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี สาขาชะอำ ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) ชาญชัย แสวงศักดิ์
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายชาญชัย แสวงศักดิ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ