คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเกิดปากเสียง ด่าทอแล้วใช้มือผลักซึ่งกันและกันกับพวกคนหนึ่งของผู้ตาย ผู้ตายเข้าห้ามให้แยกกันและใช้มือตบหน้าจำเลยไป 1 ที โดยมิได้แสดงอาการว่าจะทำร้ายจำเลยด้วยอาวุธอะไรต่อไปอีก จำเลยได้ชักมีดออกแทงผู้ตายไปทันทีถูกผู้ตายเป็นแผลฉกรรจ์ถึง 3 แผล ถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยจะอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันตนเองให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะถึงหาได้ไม่และการที่ผู้ตายใช้มือตบหน้าจำเลยก่อนเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยแทงทำร้ายผู้ตายไปในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำความผิดด้วยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเวลากลางวันของวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๑๐ จำเลยที่ ๑ ใช้มีดพกปลายแหลม จำเลยที่ ๒ ใช้ไม้ตะบอง ร่วมกันแทงและตีทำร้ายนายดุลยาซิงห์ โดยเจตนาฆ่านายดุลยาซิงห์ถูกทำร้ายถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย และจำเลยที่ ๑ ยังใช้มีดแทงทำร้ายนายยากัสซิงห์หรือกระยาซิงห์เกิดอันตรายแก่กายสาหัส เหตุเกิดที่ตำบลคลองต้นไทร อำเภอคลองสาน จังหวัดธนบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๓, ๒๙๗
นายยากัสซิงห์ผู้เสียหายและนางสาวมินทร์โกรกับพวกรวม ๕ คน บุตรผู้ตายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลไต่สวนแล้วสั่งอนุญาต
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วไม่เชื่อว่าจำเลยที่ ๒ ใช้ไม้ตีผู้ตายและจำเลยที่ ๒ มิได้ร่วมสมคบหรือสนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ทะเลาะกับนายยากัสซิงห์ก่อนผู้ตายเข้าห้ามจำเลยที่ ๑ จึงใช้มีดแทงผู้ตาย พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๙๗ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นกระทงหนัก จำคุก ๑๘ ปี ยกฟ้องสำหรับตัวจำเลยที่ ๒ มีดของกลางให้ริบ
โจทก์และนางสาวมินทร์โกร์กับพวกโจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ด้วย
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า เป็นการกระทำป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุไม่มีความผิด
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยแทงผู้ตายและนายยากัสซิงห์เพราะถูกนายยากัสซิงห์ด่าและตบหน้าซึ่งเป็นการข่มเหงกันอย่างร้ายแรงโดยเหตุอันไม่เป็นธรรมจำเลยที่ ๑ กระทำไปโดยบันดาลโทสะ มิใช่เกิดจากกรณีวิวาทสำหรับจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ ๑ พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๙๗ ประกอบด้วยมาตรา ๗๒ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๘ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามศาลชั้นต้น
นางสาวมินทร์โกร์กับพวกโจทก์ร่วมฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะตัวจำเลยที่ ๑ ส่วนฎีกาเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ ๒ ไม่รับ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่ามีดของกลางเป็นของจำเลยที่ ๑ ซึ่งชักออกทำร้ายผู้ตายและนายยากัสซิงห์ ผู้ตายกับนายยากัสซิงห์ได้พบกับจำเลยที่ ๑ ที่หน้าปากตรอกเข้าบ้านหัวหน้ายาม นายยากัสซิงห์ถามจำเลยที่ ๑ ว่าจะไปที่ไหนจะไปทำไมกัน จำเลยที่ ๑ ก็ด่าแม่นายยากัสซิงห์ก่อน ครั้นนายยากัสซิงห์ด่าตอบ ทั้งสองคนก็เข้าใช้มือผลักกัน นายดุลยาซิงห์ผู้ตายเข้าห้ามและตบหน้าจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงชักมีดออกแทงนายดุลยาซิงห์ นายยากัสซิงห์เข้าไปจะช่วยก็ถูกจำเลยที่ ๑ แทงอีกหลายแผล ได้รับบาดเจ็บถึงสาหัส
การที่นายดุลยาซิงห์ตบหน้าจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ก็ใช้มีดแทงนายดุลยาซิงห์ทันที บาดแผลของนายดุลยาซิงห์ที่ถูกจำเลยที่ ๑ แทงเอานั้นล้วนแต่ฉกรรจ์ทั้งสิ้น คือถูกบริเวณทรวงอก ๒ แผล แผลหนึ่งทะลุเข้าเยื่อหุ้มปอดทะลุหัวใจ อีกแผลหนึ่งทะลุเยื่อหุ้ม ปอดและเนื้อปอด ส่วนแผลที่ ๓ ทะลุเข้าช่องท้องถูกเยื่อบุลำไส้มีเลือดออกในช่องท้องประมาณ ๓๐ ลูกบาศก์เซนติเมตรการกระทำอันรุนแรงของจำเลยที่ ๑ ดังนี้ จะอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะถึงหาได้ไม่เพราะพอผู้ตายตบหน้าจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ก็ใช้มีดแทงผู้ตายทันที โดยที่ผู้ตายมิได้แสดงอาการว่าจะทำร้ายจำเลยที่ ๑ ด้วยอาวุธอะไรต่อไป อย่างไรก็ตามที่ผู้ตายตบหน้าจำเลยที่ ๑ ก่อนถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยที่ ๑ อย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยที่ ๑ ได้ทำร้ายผู้ตายไปในขณะนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ บันดาลโทสะ ย่อมได้รับผลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๒
พิพากษายืน

Share