คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 978/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพักงานที่เป็นโทษทางวินัยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยต้องเป็นการพักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้าง การที่จำเลยพักงานโจทก์ 7 วัน และหักค่าจ้างโจทก์ไว้ร้อยละ 50 โดยให้เหตุผลว่าเพื่อรอการสอบสวนหาข้อเท็จจริงการกระทำผิดของโจทก์จึงไม่ใช่การลงโทษทางวินัย
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุว่าพนักงานต้องไม่ทำการทะเลาะวิวาทหรือใช้กำลังประทุษร้ายซึ่งกันและกันในบริเวณบริษัท เมื่อข้อเท็จจริงยุติว่าโจทก์ทำร้ายร่างกาย พ. ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ในขณะปฏิบัติงานตามหน้าที่โดยชกที่ใบหน้า ปาก และศีรษะ แสดงว่าโจทก์ไม่มีความยำเกรงต่อผู้บังคับบัญชา ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือไม่ต่ำกว่าเดิม อัตราค่าจ้างและสวัสดิการเท่าเดิมหรือไม่ต่ำกว่าเดิม พร้อมทั้งนับอายุงานต่อเนื่อง หากจำเลยไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิมได้ ก็ให้จ่ายค่าเสียหายเท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้าย 3 เดือน เป็นเงิน 19,770 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 7,884 บาท ค่าจ้างค้างจ่าย 766 บาท และค่าชดเชย 39,420 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของค่าจ้างค้างจ่ายและค่าชดเชย นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง 766 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 8 พฤษภาคม 2549) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2549 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา โจทก์ทำร้ายร่างกายนายพรศักดิ์ ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ในขณะกำลังปฏิบัติงานตามหน้าที่โดยชกที่ใบหน้า บริเวณปากและศีรษะ ทั้งหลังเกิดเหตุ นายพรศักดิ์ก็ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่โจทก์ทันที ซึ่งโจทก์ให้การรับสารภาพทั้งชั้นสอบสวนและชั้นศาล การกระทำของโจทก์แสดงว่าโจทก์มิได้มีความยำเกรงต่อผู้บังคับบัญชา ทั้งมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ระบุห้ามไว้ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยหมวด 7 ข้อ 2.1.22 ซึ่งเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยจึงชอบที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (4) และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหมวด 7 ข้อ 4.4 และหมวด 9 ข้อ 5.3 รวมทั้งไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 วรรคห้า ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 และถือไม่ได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างหรือขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ แต่เมื่อข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยไม่ได้ให้จำเลยมีอำนาจพักงานลูกจ้างเพื่อทำการสอบสวนความผิด การที่จำเลยพักงานโจทก์เพื่อทำการสอบสวนความผิด 7 วัน โดยจ่ายค่าจ้างให้ร้อยละ 50 ของค่าจ้างปกติจึงไม่มีสิทธิที่จะทำได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 116 ถือว่าจำเลยค้างจ่ายค่าจ้างเดือนมีนาคม 2549 ต่อโจทก์อยู่ 766 บาท เมื่อไม่จ่ายภายในวันที่ 25 มีนาคม 2549 ตามกำหนดจ่ายค่าจ้าง โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 9 โดยคิดให้นับแต่วันฟ้องตามที่โจทก์ขอ
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยพักงานโจทก์แล้ว 7 วัน ด้วยเหตุที่ว่าโจทก์ชกต่อยนายพรศักดิ์ ซึ่งตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยถือว่าเป็นการลงโทษ เมื่อจำเลยนำเหตุเดียวกันนี้มาเลิกจ้างโจทก์อีกจึงเป็นการลงโทษที่ซ้ำซ้อนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย การพักงานที่เป็นโทษทางวินัยนั้นต้องเป็นการพักงานโดยไม่จ่ายค่าจ้างทั้งคำฟ้องโจทก์ก็บรรยายไว้อย่างแจ้งชัดว่าจำเลยสั่งพักงานโจทก์เป็นเวลา 7 วัน และหักค่าจ้างโจทก์ไว้ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง รวมเป็นเงิน 766 บาทโดยให้เหตุผลว่าเพื่อรอการสอบสวนหาข้อเท็จจริงของการกระทำความผิด ดังนั้นการพักงานดังกล่าวจึงเป็นการกระทำเพื่อรอการสอบสวนหาข้อเท็จจริงและมีการจ่ายค่าจ้างให้ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง กรณีจึงหาใช่เป็นการลงโทษทางวินัยแต่อย่างใดไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าตามหนังสือเลิกจ้าง ระบุเหตุแห่งการเลิกจ้างว่าโจทก์ได้ยินคำพูดจากเพื่อนร่วมงานว่านายพรศักดิ์ต้องการปลดนายพลวัต (โจทก์) ดังนั้นนายพลวัต (โจทก์) จึงไม่พอใจ แต่จำเลยยื่นคำให้การและศาลแรงงานกลางหยิบยกขึ้นวินิจฉัยว่าการที่โจทก์ชกต่อยนายพรศักดิ์ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจในสถานที่ทำงาน จำเลยจึงชอบที่จะเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (4) จึงยังคลาดเคลื่อนและขัดต่อกฎหมายเพราะมิใช่เหตุที่ระบุไว้ตามหนังสือเลิกจ้าง ต้องห้ามตามระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 วรรคสาม เห็นว่า เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าหนังสือเลิกจ้าง ได้ระบุว่าเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2549 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา โจทก์ทำร้ายร่างกายนายพรศักดิ์ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ในขณะกำลังปฏิบัติงานตามหน้าที่โดยชกที่ใบหน้าบริเวณปากและศีรษะ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่ามิได้ระบุเหตุไว้ในหนังสือเลิกจ้างจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์อุทธรณ์อีกว่าเมื่อพิจารณาตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยแล้ว เหตุเลิกจ้างในคดีนี้ยังไม่เป็นกรณีที่ร้ายแรง เห็นว่า ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หมวด 7 วินัยพนักงาน ข้อ 2.1.22 กำหนดไว้ว่าพนักงานต้องไม่ทำการทะเลาะวิวาทหรือใช้กำลังประทุษร้ายซึ่งกันและกันในบริเวณบริษัทฯ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่าโจทก์ทำร้ายร่างกายนายพรศักดิ์ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ในขณะกำลังปฏิบัติงานตามหน้าที่ โดยชกที่ใบหน้า บริเวณปากและศีรษะ ซึ่งศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์แสดงว่าโจทก์มิได้มีความยำเกรงต่อผู้บังคับบัญชา ทั้งมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ระบุห้ามไว้ ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีที่ร้ายแรง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน

Share