คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 977/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การพิจารณาว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ ต้องพิจารณาจากการบรรยายฟ้องเท่านั้น ไม่ต้องเอาทางนำสืบมาพิจารณาด้วย คำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ระบุให้โจทก์นำหนี้สินความรับผิดชอบไม่ว่าประเภทใด ๆ มาหักบัญชีได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เป็นข้อตกลงที่จำเลยที่ 1ยอมให้โจทก์หักบัญชีมิใช่เฉพาะแต่เงินในบัญชีเท่านั้น ถึงแม้ในบัญชีของจำเลยที่ 1 ไม่มีเงิน โจทก์ก็อาจนำหนี้สินอื่นมาหักจากบัญชีได้ ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 เพียงใด เป็นการบังคับตามสัญญาค้ำประกันที่โจทก์กล่าวอ้างและนำสืบ แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จะไม่ยกขึ้นว่ากล่าวต่อสู้ ศาลก็จะต้องยกขึ้นวินิจฉัยให้อยู่แล้ว และถึงแม้ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้โดยไม่ย้อนสำนวน คำบอกกล่าวบังคับจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 728 ไม่จำต้องบอกกล่าววิธีบังคับจำนองไปในคำบอกกล่าวด้วย คำแก้ฎีกาจะขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่กำหนดให้ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนน้อยเกินไปไม่ได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินเกินบัญชีกับโจทก์สาขาถนนมิตรภาพในวงเงินจำนวน 2,000,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เฉพาะจำนวนที่เบิกเกินบัญชีในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี กำหนดส่งดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกเดือนภายในวันที่ 5 ของเดือนถ้าผิดนัดยอมให้นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้าเป็นเงินต้นได้ จำเลยที่ 1 นำที่ดินโฉนดเลขที่ 1072และโฉนดเลขที่ 16815 มาจดทะเบียนจำนองแก่โจทก์ และจำเลยที่ 2ถึงที่ 6 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 โดยยินยอมร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 เบิกเงินและรับเงินไปจากโจทก์หลายครั้งหลายหน และนำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนบัญชีตลอดมาแต่เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี จำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งหกชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยทั้งหกทราบคำบอกกล่าวแล้วแต่ก็ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ คิดถึงวันฟ้องเป็นหนี้จำนวน 3,282,343.01บาท ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยถ้าจำเลยทั้งหกไม่ชำระก็ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งหกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งหกให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้สั่งจ่ายเงินออกจากบัญชีแต่โจทก์นำรายการไปลงในบัญชีว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้รวม 36 รายการ เป็นเงิน 1,113,354.30 บาท ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้องและโจทก์ให้จำเลยที่ 1 จ่ายเช็ค 3 ฉบับ รวมเป็นเงินจำนวน40,298.65 บาท เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1มิได้เป็นหนี้โจทก์ และโจทก์หักเงินจำนวนนี้จากบัญชีของจำเลยที่ 1การที่โจทก์นำจำนวนเงินทั้งสองรายการดังกล่าวลงบัญชีว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ แล้วคิดดอกเบี้ยทบต้นตลอดมาเป็นการไม่ชอบ เพราะมิใช่ยอดหนี้จากการเบิกเงินเกินบัญชีที่โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญาได้ การบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบเพราะหนังสือบอกกล่าวไม่มีรายการครบถ้วนเป็นคำบอกกล่าวบังคับจำนองมิได้กำหนดเวลาอันสมควร ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าจำเลยที่ 1 เดินสะพัดทางบัญชีอย่างไรโจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราเท่าใด โดยวิธีอะไร เดือนใดเป็นดอกเบี้ยเท่าใดจึงเป็นฟ้องที่ยังไม่แจ้งชัด ตามสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2ถึงที่ 6 ต้องร่วมรับผิดจำนวน 2,000,000 บาท ดอกเบี้ยไม่ทบต้นต่างหากจากบัญชีเดินสะพัดของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 3,273,713.29 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 3,038,075.42 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 5 รับผิดเพียงจำนวน 2,790,162.13 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ19 ต่อปี จนถึงวันที่ 1 มกราคม 2529 ต่อจากนั้นในอัตราร้อยละ17 ต่อปี จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 และในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 จนถึงวันชำระเสร็จ ถ้าจำเลยทั้งหกไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์หากไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งหกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 โดยจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นหลักประกันตามเอกสารหมาย จ.8 และ จ.9 กับมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เป็นผู้ค้ำประกันด้วย ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.10 ถึง จ.14หลังจากนั้นโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้เดินสะพัดทางบัญชีกัน โจทก์ได้ทำการหักทอนทางบัญชีกับจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.15ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งหกมีว่า ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ ความรับผิดของจำเลยทั้งหกต่อโจทก์และการบอกกล่าวบังคับจำนองชอบหรือไม่ ปัญหาว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่นั้นจำเลยทั้งหกฎีกาว่า เคลือบคลุมเพราะโจทก์ต้องบรรยายว่า ได้มีการนำเงินเข้าในแต่ละเดือนกี่ครั้ง นำเงินออกแต่ละเดือนกี่ครั้งเป็นดอกเบี้ยเดือนละเท่าใด หักแล้วฝ่ายใดเป็นลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เท่าใดของเดือนนั้น ๆ ตามหลักบัญชีกระแสรายวันของธนาคารที่หักบัญชีทุกวัน และคำนวณดอกเบี้ยทุกเดือน แม้เป็นรายละเอียดที่อาจนำสืบได้ แต่โจทก์ก็มิได้นำสืบเช่นนั้น แม้โจทก์แนบบัญชีกระแสรายวันมาท้ายฟ้อง โจทก์มิได้มีคำอธิบายในบัญชีนั้น เห็นว่า การพิจารณาว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ ต้องพิจารณาจากการบรรยายฟ้องเท่านั้นไม่ต้องเอาทางนำสืบมาพิจารณาด้วย บัญชีกระแสรายวันที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องก็มีรายการครบถ้วนตามที่จำเลยทั้งหกยกขึ้นกล่าวอ้างในฎีกาพร้อมคำแปลบัญชีกระแสรายวันครบถ้วน อ่านแล้วสามารถเข้าใจได้ดีคำฟ้องจึงไม่เคลือบคลุม สำหรับความรับผิดของจำเลยทั้งหกต่อโจทก์นั้น จำเลยทั้งหกฎีกาว่า โจทก์นำหนี้อื่นจำนวน 34รายการมาหักบัญชีของจำเลยที่ 1 ไม่ได้ เพราะคำขอเปิดบัญชีตามเอกสารหมาย จ.18 และ จ.20 มิได้เป็นข้อตกลงให้เป็นการเบิกเงินเกินบัญชี แต่ใช้กับการหักบัญชีเมื่อจำเลยที่ 1 มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีเท่านั้น เห็นว่า ตามคำขอเปิดบัญชีเอกสารหมายจ.18 และ จ.20 ข้อ 14 มีข้อความว่า “ถ้าข้าพเจ้าบริษัทมีหนี้สินความรับผิดชอบต่อธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นหนี้สินความรับผิดชอบประเภทใด ธนาคารมีสิทธิหักบัญชีของข้าพเจ้า/บริษัทได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า” ตามข้อตกลงนี้จำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์หักบัญชี มิใช่เฉพาะแต่เงินในบัญชีเท่านั้น ดังนั้น แม้ในบัญชีของจำเลยที่ 1 จะไม่มีเงินอยู่ในบัญชี โจทก์อาจนำหนี้สินอื่นมาหักจากบัญชีของจำเลยที่ 1 ได้ เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2ถึงที่ 6 ที่จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ได้อุทธรณ์ไว้ด้วยว่าตามสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในวงเงินไม่เกิน 2,000,000 บาทแต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยให้เพราะเห็นว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ฎีกาว่าไม่ชอบนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 เพียงใด เป็นการบังคับตามสัญญาค้ำประกันที่โจทก์อ้างและนำสืบ แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6จะไม่หยิบยกขึ้นว่ากล่าวต่อสู้ ศาลก็จะต้องหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้อยู่แล้วศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยให้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2ถึงที่ 6 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์เอกสารหมาย จ.10 ถึง จ.14ข้อ 1 มีว่า “เนื่องในการที่ธนาคารยอมให้ ห้างหุ้นส่วนจำกัดโคราชโอซาก้า ซึ่งต่อไปนี้เรียกว่า “ผู้เบิกเงินเกินบัญชี”เบิกเงินจากธนาคารตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ลงวันที่ 19สิงหาคม 2525 เป็นจำนวนเงิน 2,000,000 บาท นั้น ผู้ค้ำประกันยอมเข้าค้ำประกันการชำระหนี้รวมทั้งดอกเบี้ยค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชำระตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนี้ ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกล่าวแล้ว จนกว่าธนาคารจะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง และทั้งนี้ผู้ค้ำประกันตกลงผูกพันชำระหนี้ของลูกหนี้ที่มีอยู่แล้วต่อธนาคารก่อนสัญญานี้ด้วย”ข้อความดังกล่าวแจ้งชัดว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 มิได้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในวงเงินจำกัดเพียง 2,000,000 บาท ดังที่จำเลยที่ 2ถึงที่ 6 ฎีกา ปัญหาสุดท้ายที่ว่าการบอกกล่าวบังคับจำนองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ฎีกาว่า คำบอกกล่าวไม่ชอบเพราะโจทก์ไม่ระบุในคำบอกกล่าวว่าจะบังคับจำนองด้วยวิธีใดและระบุเวลาเพียง 7 วัน เมื่อเทียบกับจำนวนเงินสิบเจ็ดล้านบาทเศษนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 บัญญัติไว้เพียงว่า เมื่อจะบังคับจำนอง ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรเท่านั้นโจทก์จึงไม่ต้องบอกกล่าววิธีบังคับจำนองไปในคำบอกกล่าวด้วยส่วนระยะเวลาชำระหนี้นั้น จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โดยตรงย่อมทราบดีว่า เป็นหนี้โจทก์อยู่เท่าใดถึงกำหนดชำระเมื่อใดเมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้จำนองด้วย ทั้งโจทก์ก็ได้เคยมีหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ก่อนแล้วถึง 2 ครั้ง ที่โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองให้เวลาเพียง 7 วัน ก็เป็นการเพียงพอแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้ว โจทก์ได้แก้ฎีกาขอให้พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่กำหนดให้จำเลยทั้งหกใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์ว่า น้อยเกินไปนั้นในกรณีเช่นนี้โจทก์จะขอมาในคำแก้ฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้”
พิพากษายืน

Share