แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ไม่ได้เข้าครอบครองที่พิพาทร่วมกับจำเลยการที่โจทก์มีชื่อในแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1)ไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยโอนและแบ่งแยกที่ดินแบบแจ้งการครอบครอง เลขที่ 148 เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 74 ตารางวา ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาศาลเป็นการแสดงเจตนา หากจำเลยแบ่งแยกไม่ได้ให้ขายทอดตลาดที่ดินนำเงินมาแบ่งกันตามส่วนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ได้ความในเบื้องต้นว่าที่ดินแปลงพิพาทเป็นที่มี ส.ค.1 มีชื่อโจทก์จำเลยและนายอินทร์ สุวรรณ์ สามีจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามเอกสารหมายจ.1 มีปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงพิพาทหนึ่งในสามหรือไม่ เห็นควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกับจำเลยหรือไม่ก่อน ข้อนี้จำเลยเบิกความว่าจำเลยรับการยกให้ที่พิพาทจากนายอ้นเมื่อจำเลยอายุได้ 23 ปีเมื่อรับการยกให้แล้วจำเลยได้บุกเบิกถางทำกินและปลูกบ้านอยู่ในที่ดินดังกล่าว ขณะนั้นโจทก์อายุ 10 ปีเศษ อาศัยอยู่กับมารดาโจทก์ห่างจากที่พิพาทประมาณ 4-5 เส้น โจทก์ไม่เคยเข้ามาช่วยบุกเบิกทำกิน ข้อเท็จจริงข้อนี้จำเลยนำนางลูกจันทร์ คำนุช และนางกุหลาบ ชอบธรรม มาเบิกความยืนยันว่ารู้จักจำเลยมา 50 ปี และ 20 ปีตามลำดับ ที่พิพาทเดิมเป็นป่า เห็นจำเลยและสามีเข้าไปถากถางโดยโจทก์ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องด้วย และเมื่อพิเคราะห์ถึงพยานฝ่ายโจทก์ปรากฏว่าโจทก์เคยเบิกความไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 55/2526 ของศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท โจทก์เพิ่งทราบว่าโจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของที่พิพาท เมื่อจำเลยคดีนี้ไปตามโจทก์มาหลังจากนายอินทร์สามีจำเลยตายไปแล้ว คำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำเบิกความก่อนมีคดีพิพาทกับโจทก์ จึงมีน้ำหนักฟังได้ว่าเป็นความจริงคำเบิกความของโจทก์ในคดีนี้ที่ว่าได้ร่วมบุกเบิกที่พิพาทกับจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ ศาลฎีกาฟังว่าโจทก์ไม่ได้เข้าครอบครองที่พิพาทร่วมกับจำเลยแต่อย่างใด การที่โจทก์เพียงแต่มีชื่อในแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) นั้นไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทได้ เทียบตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1019/2510 คดีระหว่างนางสาวหวังจิ โจทก์นายเขียว ปรั่งพันธ์ จำเลย นายหมี ปรั่งพันธ์ ผู้ร้องขัดทรัพย์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา จำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความสามศาลเป็นเงิน 1,501 บาท