แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้โจทก์ฟ้อง บังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทรวม 6 แปลง ตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งตามคำฟ้องที่ดินพิพาทมีราคารวม 53,100 บาท ศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 20,000 บาท จำเลยฎีกา ดังนั้นราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกายังไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยที่ว่าสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์และจำเลย เป็นการแสดงเจตนาหลอกลวง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทในคดีนี้ไม่เกินสองแสนบาท จึง ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของ จำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า สัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญา วางมัดจำเอกสารหมาย จ.3 ที่โจทก์และจำเลยทำขึ้นเป็นการ แสดงเจตนาลวงบุคคลภายนอก ไม่มีผลผูกพันบังคับคู่ความ ตามกฎหมายนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ประกอบกับคดีของจำเลย ที่ฟ้องฎีกาเป็นการฟ้องเพื่อทำลายนิติกรรมสัญญา จึงเป็นคดี ที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 205 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือ รับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1158 ถึงเลขที่ 1163 ตำบลแหลมสักอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ให้แก่โจทก์หากไม่ไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน และ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน จำนวน 20,000 บาท แก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 200)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 201)
คำสั่ง
คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ทำขึ้นระหว่างโจทก์ และจำเลยเป็นเจตนาลวง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง