คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9742/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาค้ำประกันต้องการเพียงหลักฐาน เป็นหนังสือที่ผู้ค้ำประกันลงชื่อฝ่ายเดียวก็ใช้บังคับได้ เจ้าหนี้หรือโจทก์หาจำต้องลงชื่อด้วยไม่ จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์เป็นหนังสือและลงลายมือชื่อไว้แล้วจึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์หาจำต้องลงลายมือชื่อแต่อย่างใดไม่แม้ผู้ลงลายมือชื่อแทนโจทก์จะไม่มีอำนาจ ซึ่งถือเสมือนว่าโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกัน แต่สัญญาก็มิเสียไปยังคงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งพนักงานขายและเก็บเงินค่าสินค้าส่งมอบแก่โจทก์จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1ไว้ต่อโจทก์ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงินไม่เกิน150,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจ้างแรงงานทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คิดเป็นเงินรวม 368,605.44 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 379,435.44 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน368,605.44 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ในการชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 154,407 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันของต้นเงิน 150,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ด้วย
จำเลยที่ 1 ขาดนัด
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยกระทำความผิดให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่เคยรับสินค้าตามฟ้องจากโจทก์ และไม่เคยค้างส่งเงินค่าสินค้าหนังสือค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ไม่มีผลบังคับเนื่องจากบุคคลที่ลงชื่อกระทำการแทนโจทก์ไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อกระทำแทนโจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1เบียดบังยักยอกเงินค่าสินค้าไปจากโจทก์ทั้งสิ้น 368,605.44 บาทจำเลยที่ 1 จึงต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันตรวจพบถึงวันฟ้องเป็นเงิน 10,830 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ 1ต้องชำระแก่โจทก์ 379,435.44 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากผู้ลงชื่อในสัญญาค้ำประกันฝ่ายโจทก์ไม่มีอำนาจทำการแทนโจทก์ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 379,435.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 368,605.44 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 วรรคสองบัญญัติว่า “อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้นถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”ซึ่งหมายความว่า สัญญาค้ำประกันต้องการเพียงหลักฐานเป็นหนังสือที่ผู้ค้ำประกันลงชื่อฝ่ายเดียวก็ใช้บังคับได้แล้ว เจ้าหนี้หรือโจทก์หาจำต้องลงชื่อด้วยไม่ คดีนี้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้แก่โจทก์เป็นหนังสือและลงลายมือชื่อไว้แล้วสัญญาค้ำประกันจึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์หาจำต้องลงลายมือชื่อด้วยแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น แม้นายลาร์สโบผู้ลงลายมือชื่อแทนโจทก์จะไม่มีอำนาจทำการแทนโจทก์ซึ่งถือเสมือนว่าโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันนั่นเองแต่สัญญาค้ำประกันก็มิได้เสียไป ยังคงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายจำเลยที่ 2 ต้องปฏิบัติตามสัญญาค้ำประกันนั้น ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ชดใช้เงินแก่โจทก์ในวงเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share