แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะมิได้ให้การเรื่องอำนาจฟ้องไว้โดยชัดแจ้ง แต่จำเลยก็ได้ให้การและอุทธรณ์ต่อมาถึงการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอีกคดีหนึ่งว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ไว้แล้ว ทั้งอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงฎีกาในปัญหานี้ได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคดีก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น แม้โจทก์ทั้งหกในคดีนี้จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่ถ้าโจทก์ทั้งหกทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์แล้ว โจทก์ทั้งหกไม่โต้แย้งคัดค้านภายในเวลาที่ศาลกำหนด โจทก์ทั้งหกก็ย่อมหมดสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านอีกต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งหกไม่ทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอและการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีดังกล่าวจึงถือว่าโจทก์ทั้งหกเป็นบุคคลภายนอก คำสั่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนไม่ผูกพันโจทก์ทั้งหก ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยในที่ดินพิพาทจำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยนี้ ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาว่า ขอถือเอาอุทธรณ์ของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาด้วยนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายตั๋น เขียวคำ จำเลยได้มาขออาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทเมื่อปี พ.ศ. 2514 ต่อมานายตั๋นถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งหกเป็นทายาทนายตั๋น ได้รับมรดกที่ดินพิพาทมาเมื่อ พ.ศ. 2528 ต่อมา พ.ศ. 2530 จำเลยยื่นคำร้องขอต่อศาลขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท และศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โจทก์ทั้งหกไม่ทราบมาก่อน ขอให้มีคำสั่งว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ทั้งหก ให้จำเลยและบริวารส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนโจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อปี พ.ศ. 2514 นายตั๋นได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลย แต่ยังมิได้โอนทางทะเบียน จำเลยเข้าทำกินและครอบครองเป็นเจ้าของโดยสงบ เปิดเผยเป็นเวลากว่า 10 ปี จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 261/2530 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายตั๋นเขียวคำ สามีโจทก์ที่ 1 บิดาโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 6 จำเลยเข้าไปอยู่ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2514 นายตั๋นถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2526 โจทก์ทั้งหกรับมรดกที่ดินพิพาทในฐานะทายาทโดยธรรมของนายตั๋น เมื่อ พ.ศ. 2528 จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทเมื่อ พ.ศ. 2530 โดยโจทก์ทั้งหกมิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 261/2530 ว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 261/2530 ให้ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ย่อมมีผลผูกพันโจทก์ทั้งหก เพราะโจทก์ทั้งหกเป็นผู้เกี่ยวข้องและมีส่วนได้เสียโดยตรงในคดีแพ่งดังกล่าว เมื่อโจทก์ทั้งหกไม่ใช้สิทธิคัดค้านถือว่าโจทก์ทั้งหกสละสิทธิและเป็นการยอมรับอยู่ในตัวว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งหกจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาข้อนี้โจทก์ทั้งหกแก้ฎีกาว่าจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้หรือว่ากล่าวมาในศาลล่าง ต้องห้ามมิให้ศาลฎีการับวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยจะมิได้ให้การเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ไว้โดยชัดแจ้ง แต่จำเลยก็ได้ให้การและอุทธรณ์ต่อมาถึงการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 261/2530 ว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ไว้แล้ว ทั้งอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงฎีกาในปัญหานี้ได้
สำหรับปัญหาที่ว่า คำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่261/2530 ที่ให้ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์มีผลผูกพันโจทก์ทั้งหกหรือไม่นั้น เห็นว่า แม้โจทก์ทั้งหกจะมิได้เป็นคู่ความในคดีที่จำเลยร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ แต่ถ้าโจทก์ทั้งหกทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอดังกล่าว แล้วโจทก์ทั้งหกไม่โต้แย้งคัดค้านเสียภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้ โจทก์ทั้งหกก็ย่อมหมดสิทธิโต้แย้งคัดค้านอีกต่อไป ในปัญหาที่ว่าโจทก์ทั้งหกทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งหกไม่ทราบเรื่องดังกล่าว และในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีที่จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ก็ไม่ได้มีการส่งสำเนาคำร้องขอดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งหกซึ่งปรากฏชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ในโฉนดที่ดินพิพาทแต่อย่างใด โจทก์ทั้งหกย่อมไม่อาจโต้แย้งคัดค้านคำร้องขอของจำเลยได้ ถือว่าโจทก์ทั้งหกเป็นบุคคลภายนอก คำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่261/2530 ไม่ผูกพันโจทก์ทั้งหก โจทก์ทั้งหกจึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้เพื่อพิสูจน์ว่าโจทก์ทั้งหกมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2)
ส่วนปัญหาที่ว่า โจทก์ทั้งหกมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยหรือไม่นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า จำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยในที่ดินพิพาทเท่านั้น จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยขอถือเอาอุทธรณ์ของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาด้วยนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน