คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นสามีได้บอกล้างสัญญาค้ำประกันซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้เป็นภริยาทำไว้กับโจทก์แล้ว ย่อมมีผลทำให้สัญญาค้ำประกันนั้นในส่วนที่ผูกพันสินบริคณห์ตกเป็นโมฆะ แต่ยังสมบูรณ์อยู่เฉพาะในส่วนที่ผูกพันสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 โจทก์จะต้องบังคับชำระเอาจากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 หากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ไม่มี หรือมีไม่พอ และโจทก์ประสงค์จะบังคับชำระหนี้เอาจากส่วนของจำเลยที่ 2 ในสินบริคณห์ โจทก์ต้องร้องต่อศาลให้แยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องเสียก่อน แล้วจึงนำยึดส่วนของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้ โจทก์จะนำยึดสินบริคณห์ก่อนขอแยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของจำเลยที่ 2ไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่นา 1 แปลง โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ที่นาดังกล่าวมีชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่พิพาทเป็นสินสมรสของผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ที่จำเลยที่ 1 กู้ไปจากโจทก์โดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นยินยอม สัญญาค้ำประกันเป็นโมฆียะ ผู้ร้องทราบเรื่องและได้บอกล้างสัญญาค้ำประกันทันที สัญญาค้ำประกันย่อมตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลผูกพันสินบริคณห์

โจทก์ให้การว่า ทรัพย์พิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 โจทก์อาจบังคับคดีจากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้บอกล้างสัญญาค้ำประกัน ผู้ร้องมีสิทธิเพียงร้องขอให้กันส่วนของตนในทรัพย์พิพาทออกเท่านั้น

ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของผู้ร้องโดยฟังว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรส โจทก์มีสิทธินำยึดทรัพย์พิพาทได้

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์จะยึดทรัพย์พิพาทอันเป็นสินบริคณห์ก่อนขอแยกออกเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ไม่ได้ พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นจะเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104)

ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ย่อมนำยึดขายทอดตลาดได้ ผู้ร้องเป็นสามี ชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลให้กันส่วนที่เป็นของผู้ร้องไว้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นสามีได้บอกล้างสัญญาค้ำประกันซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้เป็นภริยาทำไว้กับโจทก์แล้ว ย่อมมีผลทำให้สัญญาค้ำประกันในส่วนที่ผูกพันสินบริคณห์ตกเป็นโมฆะ แต่ยังสมบูรณ์อยู่เฉพาะในส่วนที่ผูกพันสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 เพราะหญิงมีสามีนั้นในส่วนที่เกี่ยวด้วยสินส่วนตัว ย่อมมีฐานะอย่างบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะ เป็นแต่เมื่อไม่ได้รับอนุญาตของสามี หาอาจทำการอันใดอันหนึ่งที่จะผูกพันสินบริคณห์ได้ไม่เท่านั้น ในกรณีเช่นนี้จำเลยที่ 2 จะต้องใช้หนี้ด้วยสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ก่อน เมื่อไม่พอจึงให้ใช้จากสินบริคณห์ที่เป็นส่วนของตนฉะนั้นในการบังคับชำระหนี้ โจทก์จะต้องบังคับชำระเอาจากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 จะนำยึดสินบริคณห์มาบังคับชำระหนี้หาได้ไม่ เพราะหนี้ของจำเลยที่ 2 ไม่ผูกพันสินบริคณห์หากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ไม่มี หรือมีไม่พอ และโจทก์ประสงค์จะบังคับชำระหนี้เอาจากส่วนของจำเลยที่ 2 ในสินบริคณห์ โจทก์ต้องร้องขอต่อศาล ให้แยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องออกเป็นส่วนของจำเลยที่ 2 ผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเสียก่อนอันมีผลให้ส่วนของจำเลยที่ 2 ที่แยกออกนั้นเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ซึ่งโจทก์มีสิทธินำยึดเพื่อบังคับชำระหนี้ โจทก์จะนำยึดสินบริคณห์ก่อนขอแยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของจำเลยที่ 2 ไม่ได้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 37, 38, 1479, 1483, 1487)

พิพากษายืน

Share