คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 496/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยได้ประกอบพิธีสมรสโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส และได้อยู่ร่วมกันที่ร้านของโจทก์ ต่อมาจำเลยไม่ถูกกับบุตรโจทก์ จึงได้แยกไปอยู่ที่อื่น โจทก์จำเลยต่างก็ประกอบอาชีพของตนและมีทรัพยสมบัติแยกกันต่อมาโจทก์หวังจะคืนดีกับจำเลยจึงมอบเช็คให้จำเลยไปซื้อที่ใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของและปลูกบ้านลงในที่ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวดังนี้ ถือว่าการให้เช็คและการปลูกบ้านให้เป็นการให้โดยเสน่หา มิใช่เป็นทรัพย์ที่ประกอบทำมาหาได้ร่วมกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้ทำพิธีแต่งงานกัน แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส โจทก์ได้ออกเงินให้จำเลยไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่งใส่ชื่อจำเลยในโฉนด และได้ปลูกบ้านลงในที่ดินแปลงนี้ 1 หลัง ต่อมาโจทก์จำเลยทะเลาะวิวาทอยู่ร่วมกันไม่ได้ โจทก์จึงขอเรียกร้องที่ดินและบ้านเรือนครึ่งหนึ่งจากจำเลย

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์จำเลยเคยอยู่ร่วมกัน ต่อมาบุตรโจทก์แสดงการดูหมิ่นจำเลย จำเลยจึงกลับบ้านไปอยู่กับมารดา ต่อมาโจทก์มาขอคืนดีกับจำเลย จำเลยประสงค์จะหาที่ดินและบ้านอยู่ โจทก์จึงให้เงินจำเลยไปปลูกบ้านในที่ดินของจำเลย แต่ต่อมาโจทก์หึงหวงจำเลยไม่ยอมให้จำเลยประกอบอาชีพและติดต่อกับบุคคลอื่นจำเลยจึงไม่ยอมกลับไปเป็นภริยาโจทก์ เงินที่โจทก์ได้ให้จำเลยเพื่อซื้อกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านเป็นการให้โดยเสน่หา คดีขาดอายุความฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยแบ่งจ่ายราคาทรัพย์ครึ่งหนึ่งให้แก่โจทก์ หรือมิฉะนั้นก็ให้เอาทรัพย์ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันคนละครึ่ง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์จำเลยได้ประกอบพิธีสมรส แต่มิได้จดทะเบียนสมรสและได้อยู่ร่วมกันที่ร้านของโจทก์ แต่เมื่อจำเลยไม่ถูกกับบุตรโจทก์จึงได้แยกไปอยู่กับมารดา โจทก์จำเลยต่างก็ประกอบอาชีพของตน และมีทรัพย์สมบัติแยกกัน ต่อมาโจทก์หวังจะคืนดีกับจำเลยจึงมอบเช็คให้จำเลยไปซื้อที่ใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของจึงเป็นการให้โดยเสน่หา การปลูกบ้านรายพิพาทในที่ซึ่งจำเลยมีกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียวก็เป็นการให้โดยเสน่หาเช่นเดียวกัน มิใช่เป็นทรัพย์ที่ประกอบทำมาหาได้ร่วมกัน

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องโจทก์

Share