คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9722/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เงินที่จำเลยฝากตกเป็นของธนาคารผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับฝากแล้ว ผู้ร้องคงมีหน้าที่แต่คืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น การที่จำเลยตกลง มอบเงินฝากพร้อมสมุดบัญชีฝากประจำไว้แก่ผู้ร้องโดยใช้ข้อความว่าเป็นการจำนำก็เพียงเพื่อประกันหนี้ที่จำเลยจะพึงมีต่อผู้ร้อง แม้จะตกลงยินยอมให้ผู้ร้องนำเงินจากบัญชีดังกล่าวมาชำระหนี้โดยไม่ต้องบอกกล่าวหาทำให้ตัวเงินตามจำนวนในบัญชีเงินฝากยังเป็นของจำเลยอันผู้ร้องจะยึดไว้เป็นประกันการชำระหนี้ไม่ และโดยสภาพแล้วสิทธิการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากย่อมไม่อาจส่งมอบแก่กันได้อย่างสิทธิซึ่งมีตราสาร ความตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นการจำนำเงินฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 747 และการที่จำเลยมอบใบรับฝากประจำให้ผู้ร้องยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ของจำเลยก็มิใช่เป็นการจำนำสิทธิซึ่งมีตราสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 750 ผู้ร้องจึงไม่ใช่เจ้าหนี้ บุริมสิทธิจากการจำนำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289

ย่อยาว

คดีทั้งสิบสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 10
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสิบฟ้องจำเลยเรียกเงินตามสัญญาจ้างแรงงานศาลแรงงานกลางพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสิบแต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์ทั้งสิบนำเจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินฝากของจำเลยซึ่งอยู่ที่ผู้ร้องแต่ผู้ร้องปฏิเสธไม่ส่งเงินตามหมายอายัด ต่อมาศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ผู้ร้องปฏิบัติตามหมายอายัด ผู้ร้องเพิกเฉย ศาลแรงงานกลางจึงออกหมายบังคับคดีฉบับลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2538 แก่ผู้ร้อง แล้วโจทก์ทั้งสิบได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินสดจำนวน 2,411,200 บาทของผู้ร้อง เสมือนหนึ่งว่าผู้ร้องเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามคำขอของเจ้าพนักงานบังคับคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องโต้แย้งและปฏิเสธการส่งเงินตามหนังสือของเจ้าพนักงานบังคับคดี
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านขอให้วินิจฉัยเบื้องต้นในข้อกฎหมายว่าหมายบังคับคดีที่บังคับเอาแก่ผู้ร้องชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่จำต้องไต่สวนพยานหลักฐานของผู้ร้อง
ศาลแรงงานกลางงดไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งว่าการบังคับคดีชอบแล้ว จึงไม่มีเหตุเพิกถอนการบังคับคดี ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ยกคำสั่งศาลแรงงานกลางให้ศาลแรงงานกลางทำการพิจารณาสืบพยานในข้อที่เกี่ยวกับสัญญาจำนำประกันหนี้ต่าง ๆ ที่จำเลยมีกับผู้ร้องตลอดถึงข้อกำหนดและเงื่อนไขเกี่ยวกับการจำนำระหว่างผู้ร้องกับจำเลยแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ต่อมาในระหว่างนัดพิจารณาคำร้องเดิม ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องเข้ามาใหม่อีกหนึ่งฉบับว่าผู้ร้องในฐานะเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนำซึ่งมีสิทธิในเงินฝากประจำดังกล่าวและมีสิทธิหักเงินในบัญชีดังกล่าวชำระหนี้ที่จำเลยมีอยู่กับผู้ร้องได้จึงเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิจากการจำนำสิทธิการเบิกถอนเงินตามใบรับฝากประจำบัญชีเลขที่ 331-2 ซึ่งถูกยึดไปทั้งหมดเป็นเงิน2,411,200 บาท และมีคำสั่งให้คืนเงินดังกล่าวแก่ผู้ร้อง
โจทก์ทั้งสิบคัดค้าน
ศาลแรงงานกลางให้พิจารณาคำร้องทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วสอบข้อเท็จจริงจากทนายโจทก์ทั้งสิบและทนายผู้ร้อง ทนายโจทก์รับข้อเท็จจริงว่า เอกสารของผู้ร้องที่ศาลให้แยกเก็บนั้นที่มีลายมือชื่อจำเลยถูกต้อง ส่วนเรื่องหนี้สินระหว่างจำเลยกับผู้ร้องจะมีเป็นอย่างไรโจทก์ไม่สามารถรับได้ เพราะเป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องกับจำเลยไม่เกี่ยวกับโจทก์ แล้วศาลแรงงานกลางเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานผู้ร้องและพยานโจทก์
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ยกคำร้องทั้งสองคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “เมื่อจำเลยฝากเงินตามบัญชีเงินฝากดังกล่าวจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 ซึ่งบัญญัติว่า”ถ้าฝากเงินท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้รับฝากไม่จำต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกันกับที่ฝาก แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวน อนึ่งผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ แต่หากต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น แม้ว่าเงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตามผู้รับฝากก็จำต้องคืนเงินเป็นจำนวนดังว่านั้น”ซึ่งหมายความว่า เงินที่จำเลยฝากนั้นตกเป็นของผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับฝากแล้ว ผู้ร้องคงมีหน้าที่แต่คืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้นการที่จำเลยตกลงมอบเงินฝาก พร้อมสมุดบัญชีฝากประจำไว้แก่ผู้ร้องโดยใช้ข้อความว่าเป็นการจำนำ และมีข้อตกลงว่าจำเลยจะไม่ใช้สิทธิถอนเงินเว้นแต่จะเป็นการถอนเพื่อใช้หนี้ที่จำนำเป็นประกันไว้แก่ผู้ร้องเท่านั้นและในกรณีที่สิทธิถอนเงินถึงกำหนดชำระก่อนหนี้ของจำเลยที่จำนำเป็นประกันจำเลยยินยอมให้ผู้ร้องเบิกถอนหรือรับเงินพร้อมดอกเบี้ยและยึดถือเงินนั้นไว้เป็นทรัพย์จำนำได้ด้วยก็ตาม ก็เพียงเพื่อประกันหนี้ที่จำเลยจะพึงมีต่อผู้ร้อง แม้จำเลยจะตกลงยินยอมให้ผู้ร้องนำเงินจากบัญชีดังกล่าวมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องโดยไม่ต้องบอกกล่าวตามหนังสือให้ความยินยอมของจำเลยก็เป็นเรื่องความตกลงในการฝากเงินเพื่อเป็นประกันนั่นเอง หาทำให้ตัวเงินตามจำนวนในบัญชีเงินฝากยังเป็นของจำเลยอันผู้ร้องจะยึดไว้เป็นประกันการชำระหนี้ไม่ และโดยสภาพแล้วสิทธิการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากย่อมไม่อาจส่งมอบแก่กันได้อย่างสิทธิซึ่งมีตราสาร ความตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นการจำนำเงินฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 747 และการที่จำเลยยอมใบรับฝากประจำให้ผู้ร้องยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ของจำเลยก็มิใช่เป็นการจำนำสิทธิซึ่งมีตราสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 750 อีกเช่นกันเพราะใบรับฝากประจำเป็นเพียงหลักฐานการรับฝากและถอนเงินที่ผู้ร้องออกให้แก่จำเลยยึดถือไว้เพื่อความสะดวกในการฝากและถอนเงินในบัญชีดังกล่าวเท่านั้นไม่อยู่ในลักษณะของสิทธิซึ่งมีตราสารดังนั้นผู้ร้องจึงไม่ใช่เจ้าหน้าบุริมสิทธิจากการจำนำอันจะยึดเงินตามบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยมาชำระหนี้ผู้ร้องได้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289แต่อย่างใดไม่”
พิพากษายืน

Share