แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เมื่อศาลกำหนดเวลานัดไต่สวนมูลฟ้องไว้แน่นอนแล้ว โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องมาศาลตามนัด การที่โจทก์ไม่กำหนดเวลาเดินทางมาศาลให้ตรงเวลาทำให้มาถึงศาลล่าช้าและยังเสียเวลาเขียนคำร้องขอเลื่อนคดีแทนที่จะรีบไปแถลงต่อศาล ย่อมไม่มีเหตุสมควรที่ศาลจะยกขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จในคดีแพ่งเรื่องหนึ่งศาลชั้นต้นนัดไต่สวนมูลฟ้อง ถึงวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ไม่มาศาลตามเวลานัด ศาลชั้นต้นสั่งยกฟ้อง ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำร้องว่ามิได้จงใจขาดนัด ขอให้ศาลหยิบยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่า ในวันนัดมาถึงศาลเวลา9.10 นาฬิกา และลงมือเขียนคำร้องขอเลื่อนคดี เสร็จแล้วเข้าบัลลังก์ปรากฏตามคำร้องว่ามีการลงรับเวลา 9.25 นาฬิกา ซึ่งจะต้องเป็นเวลาเดียวกับที่ศาลจดรายงานกระบวนการพิจารณา เพราะตามรายงานศาลออกนั่งพิจารณาเวลา 9.30 นาฬิกา ทนายโจทก์อยู่กรุงเทพฯเดินทางมาถึงจังหวัดเชียงใหม่เมื่อเวลาประมาณ 8นาฬิกา ต้องใช้เวลาติดต่อตัวโจทก์และเดินทางมาศาลซึ่งอยู่ไกลจากชุมชน การจราจรติดขัด ศาลเคร่งครัดต่อเวลามากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์อื่น ๆ ประกอบเลย และไม่ผ่อนผันเวลาให้หาชอบไม่ นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลชั้นต้นได้กำหนดวันเวลานัดไต่สวนมูลฟ้องไว้แน่นอนแล้ว โจทก์มีหน้าที่ต้องมาศาลตามนัดเหตุที่โจทก์อ้างว่ามาไม่ทันล้วนแต่เป็นเรื่องปกติธรรมดาซึ่งโจทก์อาจคาดคิดได้ล่วงหน้าอยู่แล้ว และสามารถจะกำหนดระยะเวลาเดินทางเผื่อไว้ให้ทันกำหนดนัดของศาลได้ การที่โจทก์ไม่กำหนดเวลาเดินทางมาศาลให้ตรงเวลาทำให้มาถึงศาลล่าช้าและยังมาเสียเวลาเขียนคำร้องขอเลื่อนคดีที่หน้าศาลอีก แทนที่จะรีบไปแถลงต่อศาลเช่นนี้ ย่อมไม่มีเหตุสมควรที่ศาลจะยกคดีขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน