แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ได้ยื่นคำร้องเป็นกรณีมีเหตุฉุกเฉินขอให้ยึดหรืออายัดการทำเหมืองแร่ของจำเลย และทรัพย์สินต่าง ๆ ตามบัญชีท้ายฟ้องไว้ก่อนคำพิพากษาแล้วถึง 4 ครั้ง แต่ละครั้งก็อ้างเหตุผลทำนองเดียวกันว่า จำเลยกำลังจะจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องตลอดจนอุปกรณ์การทำเหมืองแร่และรถยนต์ ในการไต่สวนคำร้องดังกล่าวครั้งแรกนั้น คำเบิกความของโจทก์เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน กล่าวคลุม ๆ ไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยกำลังจะจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ใดตามคำร้องให้แก่ผู้ใด เมื่อใด ยังไมได้ว่าคำขอนี้มีเหตุผลสมควรอันแท้จริงที่จะสั่งอนุญาตตามที่โจทก์ขอ เมื่อโจทก์มายื่นคำร้องขออย่างเดียวกันนั้นอีก (แต่ไม่อ้างกรณีฉุกเฉิน) โดยอ้างเหตุผลในการขอทำนองเดียวกับการร้องขอครั้งแรกที่ศาลได้เคยไต่สวนไว้แล้ว โดยไม่มีเหตุผลพิเศษอื่นใดนอกเหนือไปกว่าเดิม ศาลจึงชอบที่จะสั่งยกคำร้องโดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้องอีกได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกขอแบ่งหุ้นอันเกิดจากกองทุนมรดกของขุนวิเศษนุกูลกิจ ในบริษัทเข้งหงวน จำกัด ที่เป็นส่วนของโจทก์จำนวน ๓๔ หุ้น เงินส่วนได้ในโฉนด ๓ ฉบับ พร้อมด้วยดอกเบี้ยเงินส่วนได้จากการทำเหมืองแร่พร้อมด้วยดอกเบี้ย และได้ฟ้องจำเลยกับพวกเป็นอีกคดีหนึ่งเรียกเงินส่วนแบ่งเครื่องเพชร ทอง เงินรายได้จากค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำยาง ตามพินัยกรรมของขุนวิเศษนุกูลกิจ รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณสิบสี่ล้านบาท โจทก์ได้ยื่นคำร้องเป็นกรณีมีเหตุฉุกเฉินขอให้ยึดหรืออายัดการทำเหมืองแร่ของบริษัท เข้งหงวน จำกัด เงินในธนาคารซึ่งเป็นชื่อของจำเลยและทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับที่ ๑ – ๒๒ อ้างเหตุว่า จำเลยกับพวกขุดแร่ตามประทานบัตรมีรายได้ประมาณเดือนละสี่ล้านบาท แล้วจำเลยกับพวกเบียดบังเอาเงินจำนวนนี้ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวจนหมด และจำเลยกับพวกกำลังจะจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับที่ ๑ – ๒๒ ตลอดจนอุปกรณ์การทำเหมืองแร่และรถยนต์ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยึดหรืออายัดทรัพย์ของจำเลยเป็นกรณีมีเหตุฉุกเฉิน อ้างเหตุทำนองเดียวกับคำร้องฉบับแรกอีกรวม ๔ ครั้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องทุกครั้ง
โจทก์มายื่นคำร้องขอให้ยึดหรืออายัดการทำเหมืองแร่ทุกแห่งของจำเลย และให้ยึดและอายัดทรัพย์สินต่าง ๆ ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องตั้งแต่อันดับที่ ๑ – ๒๒ ไว้ก่อนคำพิพากษาอีกครั้งหนึ่งโดยอ้างว่า จำเลยกับพวกซึ่งครอบครองทรัพย์สินทังหมดในบริษัท เข้งหงวน จำกัด อันเกิดจากกองทุนมารดกของขุนวิเศษนุกูลกิจ ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยได้ขุดแร่ตาประทานบัตร ๕ แห่ง นำไปขายได้เดือนละไม่น้อยกว่า ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แล้วจำเลยกับพวกได้นำรายได้ดังกล่าวเป็นของตน และจำเลยกับพวกยังเบียดบังซ่อนเร้นจำหน่ายจ่ายโอนเงินฝากในธนาคารอีก ๔ แห่ง เป็นของตนอีกด้วย นอกจากนี้จำเลยกับพวกกำลังจะยักย้ายจำหน่าย จ่ายโอนทรัพย์สินตามโฉนดในบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องอันดับที่ ๑ ถึง ๑๒ และ ๑๙ และตามบัญชีทรัพย์ตามโฉนดของหนังสือสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตที่ ภ.ก.๑๔/๓๗๖ ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๑๕ อีก ๖๔ โฉนด และจำเลยกับพวกยังมีพฤติการณ์ทำให้เชื่อได้ว่ากำลังจะยักย้าย จำหน่าย จ่ายโอนทรัพย์สินตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องตั้งแต่วันที่ ๑ – ๒๒ และรายการทรัพย์สินอื่นตลอดจนอุปกรณ์การทำเหมืองแร่และรถยนต์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับที่ ๒๐ และ ๒๑
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ยังมีสิทธิบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลย นอกจากที่ให้ยึดและอายัดตามคำร้องได้ ไม่มีเหตุสมควรเพียงพอที่จะขอให้ศาลสั่งคุ้มครองตามขอ ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอของโจทก์และอนุญาตให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยไว้ก่อนคำพิพากษา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ยื่นคำร้องเป็นกรณีมีเหตุฉุกเฉินขอให้ยึดหรืออายัดการทำเหมืองแร่ของจำเลยและทรัพย์สินต่าง ๆ ตามบัญชีท้ายฟ้องไว้ก่อนคำพิพากษาก่อนถึง ๔ ครั้งด้วยกัน แต่ละครั้งก็อ้างเหตุผลทำนองเดียวกันว่าจำเลยกำลังจะจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับที่ ๑ – ๒๒ ตลอดจนอุปกรณ์การทำเหมืองแร่และรถยนต์ ในการไต่สวนคำร้องดังกล่าวครั้งแรกนั้น โจทก์เบิกความเพียงว่า จำเลยขุดแร่ได้แล้วไม่ลงบัญชี นำเงินไปฝากและแบ่งให้พรรคพวกของจำเลย ซึ่งต่างก็นำไปฝากไว้กับธนาคารหลายแห่ง โจทก์ทราบข่าวจากวงธุรกิจทั่วไปว่าเงินที่ฝากไว้กับธนาคารนี้จะจัดการโอนไปต่างประเทศ นางสาวอุดมพร ตึ้งเจริญ เคยบอกโจทก์ว่า นางเฉ่งครีมภริยานายเก่ง ลิมปานนท์ เล่าให้ฟังว่าคดีนี้แม้โจทก์ชนะคดีก็ไม่ได้อะไร เพราะจะเอาเงินไปเข้าธนาคารต่างประเทศที่ปีนัง จำเลยได้โอนทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องอันดับที่ ๑ – ๑๒ และ ๑๙ ให้บุตรของนายสงวนจำเลยไป นอกจากที่จำเลยยังทำขายเอกสารบัญชีโอนหุ้นเป็นของนายสงวนจำเลยทั้งหมด คำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวนี้เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุนเป็นการกล่าวคลุม ๆ ไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยกำลังจะจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์ใดตามคำร้องให้แก่ผู้ใด เมื่อใด จึงฟังไม่ได้ว่าคำขอนี้มีเหตุผลอันแท้จริงที่จะสั่งอนุญาตตามที่โจทก์ขอ ฉะนั้น เมื่อคำร้องขอของโจทก์ที่ขอให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยไว้ก่อนพิพากษา ครั้งสุดท้ายนี้ยังคงอ้างเหตุผลในการขอทำนองเดียวกับคำร้องขอครั้งแรกที่ศาลเคยไต่สวนแล้วโดยไม่มีเหตุผลพิเศษอื่นใดนอกเหนือไปกว่าเดิม ศาลจึงชอบที่จะสั่งยกคำร้องโดยไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้องของโจทก์อีกได้ นอกจากนี้ศาลชั้นต้นยังอ้างเหตุผลด้วยว่าโจทก์ยังมีสิทธิบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยนอกจากที่โจทก์ขอให้ยึดหรืออายัด ซึ่งแสดงว่าคำร้องขอของโจทก์ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามที่โจทก์ขอมาใช้ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกคำร้องของโจทก์จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน