แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำของพรรคพวกผู้ร้ายด้วยกันถ้าหากมีพะยานอื่นประกอบฟังเปนพะยานหลักฐานได้
ศาลอุทธรณ์แก้ศาลเดิมว่าถ้าจำเลยไม่ใช้ทรัพย์ให้จัดการตามมาตรา 18 แต่จะจำแทนไม่ได้เพราะจำเลยรับโทษจำคุก 20 ปีแล้วจำเลยฎีกาข้อเท็จจริง ศาลฎีกากล่าวข้อความที่กล่าวแล้วไม่เปนปัญหาที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัย
ย่อยาว
คดีนี้จำเลยกับพวกได้กระทำการปล้นทรัพย์ของ น. แล้วเก็บเอาทรัพย์ไปรวม ๑,๘๒๕ บาท ๘๐ สตางค์แล้วจับเอาภริยาเจ้าทรัพย์ไปเพื่อเรียกค่าไถ่
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้วางโทษจำเลยตามมาตรา ๓๐๑ ให้จำคุกคนละ ๑๒ ปี ตามมาตรา๒+ ๒๗๐ วรรค๒ อีกคนละ ๑๕ ปีแต่รวมโทษ ๒ กะทงคงให้จำคุกคนละ ๒๐ ปีตามมาตรา ๗๑ แต่ในข้อให้จำเลยใช้ทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์นั้น ศาลขั้นต้นพิพากษาว่าถ้าไม่ใช่ให้จัดการตามมาตรา ๙๒ แต่ศาลอุทธรณืเห็นควรบังคับตามมาตรา ๑๘ และไม่ควรจำคุกแทนเงินทุนทรัพย์เพราะจำเลยต้องจำคุกเกิน ๒๐ ปี แล้วจะจำคุกเกินไม่ได้ตามมาตรา ๓๖
จำเลยฎีกาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีนี้โจทก์มีประจักษ์พะยานอยู่ใกล้ชิดและยังมีคำของ อ.ซึ่งเปนพรรคพวกผู้ร้ายชวนไปปล้นด้วยคำของ ว. จะฟังได้ก็ต้องมีพะยานประกอบและโจทก์ก็มีประจักษ์พะยานประกอบอยู่โดยบริบูรณ์แล้วส่วนข้อที่ศาลอุทธรณ์ว่าจะจำคุกแทนราคาทรัพย์อีกไม่ได้นั้นไม่เปนปัญหาที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยได้ในคดีนี้ จึงพิพากษายืนตามศาลล่าง