แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือที่จำเลยมีถึงผู้อำนวยการเขตจตุจักรชี้แจงว่าจำเลยเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทยมีกำหนดระยะเวลา 3 ปี โรงเรือนหรืออาคารที่ก่อสร้างขึ้นเป็นลักษณะชั่วคราว จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน ทั้งมีสิทธิที่จะขอคืนภาษีโรงเรือนและทีดินที่ชำระไปแล้ว และหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีโรงเรือนและที่ดินและรายละเอียดเกี่ยวกับการชำระหนี้สินของจำเลยภายหลังถูกรัฐบาลบอกเลิกสัญญาสัมปทานก่อสร้างทางรถไฟยกระดับ และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนกรรมสิทธิ์อาคารสำนักงานชั่วคราวที่พิพาทให้แก่บริษัทแล้ว จำเลยจึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินนั้น มิใช่คำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 25 และมาตรา 26 แห่งพ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินและเงินเพิ่มจำนวน ๖,๗๖๘,๑๔๐.๕๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยไม่จงใจขาดนัด ศาลภาษีอากรกลางไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๖,๗๖๘,๑๔๐.๕๐ บาท แก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยแล้ว คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยเป็นหนี้ค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินและเงินเพิ่มตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายนริศ พิบูลย์วัฒนา พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินรายพิพาทประจำปีภาษี ๒๕๔๑ โดยกำหนดค่ารายปีเท่ากับค่ารายปีของปีที่ล่วงแล้วจำนวน ๔๙,๒๒๒,๘๔๐ บาท คำนวณเป็นค่าภาษีจำนวน ๖,๑๕๒,๘๕๕ บาท และได้ส่งแบบแจ้งการประเมินให้จำเลยรับไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ จำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมีหนังสือถึงผู้อำนวยการเขตจตุจักรชี้แจงว่าจำเลยมิได้ใช้ประโยชน์ในโรงเรือนอย่างการประกอบอุตสาหกรรมตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๔๐ เป็นต้นมา ตามเอกสารหมาย ล.๒๐ ถึง ล.๒๒ โจทก์ต้องพิจารณาดำเนินการให้จำเลยนั้น เห็นว่า เอกสารหมาย ล.๒๐ เป็นหนังสือชี้แจงรายละเอียดไปยังผู้อำนวยการเขตจตุจักร ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๒ โดยมีสาระสำคัญว่า จำเลยไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช ๒๔๗๕ เนื่องจากจำเลยเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทยมีกำหนดระยะเวลา ๓ ปี โรงเรือนหรืออาคารที่ก่อสร้างขึ้นเป็นลักษณะอาคารชั่วคราว จำเลยเห็นว่าจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน ทั้งมีสิทธิที่จะขอคืนภาษีโรงเรือนและที่ดินที่ชำระไปแล้วระหว่างปีภาษี ๒๕๓๘ ถึง ๒๕๔๐ คืนจากโจทก์และเอกสารหมาย ล.๒๑ เป็นหนังสือฉบับลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๒ มีไปถึงผู้อำนวยการเขตจตุจักรเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีโรงเรือนและที่ดินและรายละเอียดเกี่ยวกับการชำระสะสางหนี้สินของจำเลยภายหลังถูกรัฐบาลบอกเลิกสัญญาสัมปทานการก่อสร้างทางรถไฟยกระดับ และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนกรรมสิทธิ์อาคารสำนักงานชั่วคราวที่พิพาทให้แก่บริษัทสลิปฟอร์ม เอ็นจิเนียริง จำกัด ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ล.๒๒ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่เสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน เอกสารหมาย ล.๒๐ ถึง ล.๒๒ เป็นเอกสารที่จำเลยมีไปถึงผู้อำนวยการเขตจตุจักรภายหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลายื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่แล้ว และทั้งมิใช่เป็นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ข้อเท็จจริงจึงฟังว่าจำเลยมิได้ร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ ค่าภาษีจำนวน ๖,๑๕๒,๘๕๕ บาท ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินไว้จึงเป็นจำนวนเด็ดขาด เมื่อจำเลยไม่ชำระเกินกว่า ๓ เดือน จึงต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ ๑๐ เป็นเงินเงินเพิ่มจำนวน ๖๑๕,๒๘๕.๕๐ บาท รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖,๗๖๘,๑๔๐.๕๐ บาท อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๒,๕๐๐ บาท แทนโจทก์
นางสาวสุดรัก สุขสว่าง ย่อ
นายสุธรรม จุลิรัชนีกร ผู้ตรวจร่างคำพิพากษาศาลฎีกา
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ผู้ตรวจย่อข้อกฎหมาย
นายชินวิทย์ จินดา แต้มแก้ว ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา