แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน  พ.ศ.2485  มาตรา 63 นั้น  ผู้บังคับบัญชามีอำนาจสั่งให้ข้าราชการพลเรือนที่ถูกฟ้องคดีอาญาซึ่งไม่ใช่ความผิดลหุโทษหรือประมาท  ให้ออกจากราชการได้ในขณะที่ข้าราชการผู้นั้นกำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาคดีอาญาหรือระหว่างการสอบสวนเรื่องทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและผู้บังคับบัญชามีอำนาจสั่งให้ออกจากราชการได้โดยไม่ต้องตั้งกรรมการดำเนินการสอบสวนเสียก่อน
ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา  63(ก)  นั้น  ผู้บังคับบัญชาไม่ต้องสั่งใหม่ในเมื่อการพิจารณาคดีหรือการสอบสวนได้ความว่าข้าราชการผู้นั้นไม่มีความผิด  แต่ถ้าศาลพิพากษาว่าข้าราชการผู้นั้นมีความผิดหรือการสอบสวนได้ความเป็น+ที่จะต้องไล่ออกหรือปลดออก  ผู้บังคับบัญชาต้องดำเนินการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นไล่ออกหรือปลดออกให้ตรงตามบทบัญญัติแห่งวินัยข้าราชการพลเรือนอีกครั้งหนึ่ง  การสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา 63(ก) นั้น  เป็นการสั่งให้พ้นจากราชการไปเลย  และคำสั่งนี้คงมีผลตลอดไป  เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งให้ไล่ออกหรือปลดออกตามความในมาตรา  63(ก)   ตอนท้ายเท่านั้น.
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16 -17/2507).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  เดิมโจทก์รับราชการในกรมสหกรณ์กระทรวงเกษตราธิการได้รับเงินเดือน ๆ ละ ๑,๐๖๐ บาท  ต่อมากรมสหกรณ์สถาปนาขึ้นเป็นกระทรวงสหกรณ์และต่อมาจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เปลี่ยนนามเป็นกระทรวงเกษตร  ตำรวจได้จับกุมโจทก์ในข้อหากบฏ  เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒  ศาลอาญาได้พิพากษาปล่อยตัวโจทก์เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๕  คดีถึงที่สุด
เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๔๙๒  จำเลยที่ ๒ มีคำสั่งที่ ๓๒/๒๔๔๒  ซึ่งสั่งตามพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๔๘๕  มาตรา ๖๓  ให้โจทก์พักราชการตั้งแต่วันถูกจับ  คำสั่งของจำเลยจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ  เพราะขณะนั้นโจทก์ยังไม่ได้ถูกฟ้อง
ต่อมาจำเลยที่ ๒  ได้มีคำสั่งที่ ๔๕/๒๔๙๓  ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓   สั่งตามพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๔๘๕  มาตรา ๖๓(ก)  ๔๓(ก)  ให้โจทก์ออกจากราชการฐานมีมลทินมัวหมอง  ตั้งแต่วันสั่งเป็นต้นไปคำสั่งของจำเลยนี้เป็นโมฆะ  เพราะยังไม่ได้ตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์  และศาลอาญายังมิได้พิพากษาคดีของโจทก์
เมื่อศาลอาญาได้พิพากษาปล่อยโจทก์แล้ว  จำเลยยังไม่ยอมให้โจทก์กลับเข้ารับราชการ  โจทก์จึงยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์  คณะกรรมการฯ  เห็นว่าควรดำเนินการให้โจทก์คืนสู่ฐานะข้าราชการตามเดิม  นายกรัฐมนตรีได้ส่งเรื่องให้กระทรวงสหกรณ์จำเลยที่ ๑ ดำเนินการต่อไป
จำเลยที่ ๑ ได้มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์  แต่คณะกรรมการหาได้เรียกโจทก์ไปสอบสวนและให้โอกาสโจทก์อ้างพยานหลักฐานแสดงความบริสุทธ์ไม่  แล้วจำเลยที่ ๑ ได้มีคำสั่งที่ ๒๗/๒๕๐๕  ให้โจทก์ออกจากราชการ  คำสั่งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นคำสั่งย้อนหลังให้โจทก์ออกจากราชการตั้งแต่วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓  และรับรองคำสั่งของจำเลยที่ ๔๕/๒๔๙๓  ซึ่งเป็นโมฆะ  ใช้บังคับไม่ได้  แล้วให้กลับเป็นคำสั่งที่สมบูรณ์ตามกฎหมายขึ้นใหม่อีก คำสั่งที่ ๒๗/๒๕๐๔  นี้จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจสั่งได้  เพราะโจทก์ไม่เคยถูกกล่าวหาสอบสวนว่ากระทำผิดวินัยตามพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๔๘๕   ที่ใช้บังคับอยู่เวลานั้น
คำสั่งของจำเลยดังกล่าวแล้ว  เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและละเมิดสิทธิของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย  จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์  เป็นเงิน ๓๔๗,๗๔๒.๕๐ บาท  และดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี
จำเลยทั้งสองให้การว่า  คำสั่งของจำเลยไม่ละเมิดสิทธิของโจทก์  และโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย  และตัดฟ้องว่าคดีขาดอายุความ
วันชี้สองสถาน  คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกัน  และทั้งสองฝ่ายไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำสั่งเจ้ากระทรวงเกษตราธิการที่ ๔๕/๒๔๙๓   และคำสั่งกระทรวงสหกรณ์ ที่ ๒๗/๒๕๐๔   เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย  ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์  ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าสินไหมทดแทนและอายุความ  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  คำสั่งที่ ๔๕/๒๔๙๓  เป็นคำสั่งที่ให้ออกจากราชการ  โดยเด็ดขาดข้อที่จะพิจารณาต่อไปมีว่า  คำสั่งที่สั่งให้ออกจากราชการโดยเด็ดขาดนั้นจะสั่งโดยไม่มีการแต่งตั้งกรรมการสอบสวนเสียก่อนได้หรือไม่  ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่า  การที่จะสั่งให้ข้าราชการออกจากราชการจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน มาตรา ๔๓,๖๓  เมื่อไม่ได้ตั้งกรรมการสอบสวน  จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสหกรณ์ที่ ๒๗/๒๕๐๔   ซึ่งสั่งให้โจทก์ออกจากราชการอีกครั้งหนึ่ง  มีขึ้นภายหลังที่คณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์วินิจฉัยว่า  คำสั่งให้พักราชการและให้ออกจากราชการที่สั่งไว้แต่เดิมนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย  นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าสังกัดพิจารณาดำเนินการต่อไปตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเรื่องราวร้องทุกข์ว่า  ควรให้โจทก์เข้ารับราชการหรือควรตั้งกรรมการสอบสวนใหม่  จำเลยที่ ๑  ได้ตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นคณะหนึ่ง  คณะกรรมการเห็นว่าโจทก์มีมลทินมัวหมอง  จำเลยที่ ๑  จึงสั่งให้โจทก์ออกจากราชการ  โจทก์อุทธรณ์คัดค้านว่า  คำสั่งฉบับนี้เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เพราะคณะกรรมการดำเนินการสอบสวนไม่ชอบ  เรื่องนี้ปรากฏว่าได้ตั้งกรรมการขึ้นสอบสวนแล้ว  แต่กรรมการสอบสวนได้ปฏิบัติการสอบสวนหรือไม่  ข้อนี้จำเลยแถลงรับว่ากรรมการไม่ได้เรียกโจทก์ไปสอบปากคำ  โจทก์ขออ้างสำนวนการสอบสวน  จำเลยแถลงว่าไม่มีสำนวนจะส่งให้  เมื่อจำเลยแถลงว่าไม่มีสำนวนสอบสวนส่งให้เช่นนี้  ก็เท่ากับแสดงว่าไม่มีการสอบสวนดังจำเลยกล่าวอ้าง  เมื่อไม่มีการสอบสวน  ก็ไม่เกิดผลที่ถูกต้องตามกฎหมายอันจะทำให้โจทก์ต้องออกจากราชการเมื่อคำสั่งของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว  จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์  พิพากษากลับให้จำเลยที่ ๑  ใช้เงินค่าทดแทนให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า  คำสั่งของจำเลยทั้งสองฉบับที่ให้โจทก์ออกจากราชการนั้น  ได้ปฏิบัติการชอบด้วยกฎหมาย  ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาแล้ว  ทางพิจารณาได้ความว่า  คำสั่งฉบับแรกที่สั่งให้โจทก์ออกจากราชการ  คือ  คำสั่งที่ ๔๕/๒๔๙๓  ของกระทรวงเกษตราธิการ  ซึ่งสั่งโดยอาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน  พ.ศ.๒๔๘๕  มาตรา ๖๓(ก)  และ ๔๓(ก) นั้น  ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้วเห็นว่า  ในกรณีที่ข้าราชการพลเรือนถูกฟ้องคดีอาญาซึ่งไม่ใช่ความผิดลหุโทษหรือฐานประมาท  และในกรณีถูกสอบสวนเรื่องทำผิดวินัยร้ายแรงนั้น  มาตรา ๖๓  บัญญัติว่า  ถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นว่าจะให้คงอยู่ในราชการระหว่างพิจารณาหรือสอบสวน  จะเป็นการเสียหายแก่ราชการ  ก็ให้พิจารณาปฏิบัติได้ ๒ อย่างคือ ๑ ถ้าเห็นว่ามีมลทินหรือมัวหมอง  จะสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา ๔๓(ก) ไว้ก่อนก็ได้  ๒ ถ้าเห็นว่ามลทินหรือความมัวหมองไม่ปรากฏชัด  จะสั่งได้แก่เพียงให้พักราชการ   ศาลฎีกาเห็นว่า  ข้อความในวรรคแรกของมาตรา ๖๓  ซึ่งบัญญัติว่า   “ถ้าผู้บังคับบัญชาที่ข้าราชการผู้นั้นสังกัดเห็นว่าจะให้คงอยู่ในหน้าที่ราชการระหว่างพิจารณาหรือสอบสวน  จะเป็นการเสียหายแก่ราชการ” นั้น  เป็นข้อความที่แสดงอยู่ในตัวว่า  ให้มีการพิจารณาสั่งการตามความในมาตรานี้ได้ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลหรือระหว่างการสอบสวนเรื่องทำผิดวินัยร้ายแรง  นอกจากนี้  วรรคท้ายของข้อ (ข)  ก็บัญญัติอยู่ว่า  การให้พักราชการนั้น  ให้พักตลอดเวลาที่สอบสวนพิจารณา  และระบุว่า  เมื่อสอบสวนพิจารณาแล้วปรากฏว่า  ผู้ถูกสั่งพักมิได้กระทำความผิด  ก็ให้พิจารณาสั่งต่อไปดังที่ระบุไว้  ศาลฎีกาเห็นว่าข้อความในวรรคนี้แสดงโดยชัดแจ้งว่า  การสั่งพักราชการนั้นเป็นการสั่งในระหว่างการพิจารณาคดีอาญาหรือระหว่างการสอบสวนเรื่องทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง  ขัอความในวรรคนี้จึงเป็นการสนับสนุนให้เห็นความหมายของวรรคแรก  แห่งมาตรา ๖๓  อีกชั้นหนึ่งว่าเป็นเรื่องสั่งระหว่างการพิจารณาคดีอาญาหรือระหว่างการสอบสวนเรื่องทำผิดวินัยร้ายแรง
มาตรา ๖๓  ไม่ได้บัญญัติว่า  การมีคำสั่งตามมาตรานี้  จะต้องตั้งกรรมการดำเนินการสอบสวนเสียก่อน ดังบัญญัติไว้ในมาตราอื่น  เช่นมาตรา ๖๑,๖๒  ถ้าหากถือว่าจะต้องมีการสอบสวนทำนองเดียวกับมาตรา ๖๑,๖๒  เสียก่อนแล้ว  ก็จะมีการดำเนินการสอบสวนซ้อนการสอบสวน  ซึ่งกฎหมายไม่น่าจะมีความประสงค์เช่นนั้น  มาตรา ๖๓(ก)  บัญญัติท้าวความถึงมาตรา ๔๓(ก)  มาตรา ๔๓(ก)  บัญญัติถึงการสั่งให้ข้าราชการออกจากราชการในกรณีที่ต้องหาว่าทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงไว้ว่า  ได้ดำเนินการสอบสวนพิจารณาตามมาตรา ๖๑ แล้ว  การสอบสวนพิจารณาตามมาตรา ๖๑  ก็คือ  ข้าราชการถูกหาว่าทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงอันมีโทษถึงไล่ออกมาตรานี้บัญญัติให้ผู้มีอำนาจดังระบุไว้  ตั้งกรรมการอย่างน้อยสามนายดำเนินการสอบสวนแล้วทำรายงานการสอบสวน  ฉะนั้น  การสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา ๔๓(ก)  จึงเป็นการสั่งเมื่อได้ดำเนินการสอบสวนกรณีที่ต้องหาว่าทำผิดวินัยโทษถึงไล่ออกจนเสร็จสิ้น  และมีการพิจารณาจนเสร็จสิ้นแล้วว่า  ไม่ได้ความว่ากระทำความผิด  ฉะนั้น  ถ้าหากการสั่งตามมาตรา ๖๓ (ก) ต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา ๔๓(ก)  ที่ว่า  ได้มีการสอบสวนหรือพิจารณาความผิดมาแล้ว  ก็ไม่อาจ+การพิจารณาสั่งการในระหว่างสอบสวนตามข้อความในวรรคแรกได้  ฉะนั้น  ศาลฎีกาจึงเห็นว่าคำสั่งที่ ๔๕/๒๔๙๓  ของกระทรวงเกษตรธิการเป็นคำสั่งตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้
มาตรา ๖๓  ได้บัญญัติไว้ให้ดำเนินการภายหลังที่ได้สั่งให้ออกจากราชการ   กับภายหลังที่ได้สั่งพักราชการไว้ต่างกัน กล่าวคือ  ในกรณีที่สั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา ๖๓(ก)  นั้น  กฎหมายระบุว่า  ถ้าภายหลังศาลพิพากษาว่ามีความผิดหรือสอบสวนพิจารณาได้ความเป็นสัจที่จะต้องลงโทษไล่ออกหรือปลดออก ก็ให้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงเป็นไล่ออกหรือปลดออกให้ตรงตามบทวินัยแห่งพระราชบัญญัติอีกครั้งหนึ่ง  ส่วนกรณีสั่งพักราชการตามมาตรา ๖๓(ข)  นั้น  ระบุว่า  ถ้าปรากฏว่าผู้ถูกสั่งพักราชการมิได้กระทำความผิด  และไม่มีมลทินความผิดเลย  ผู้บังคับบัญชาที่สั่งพัก  ต้องสั่งให้ผู้นั้นกลับคืนตำแหน่งเดิม  ถ้าปรากฏว่าไม่ได้ความเป็นสัจว่าผู้นั้นได้กระทำความผิด  แต่ก็มีมลทินมัวหมองอยู่  ก็อาจสั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการได้   ตามข้อบัญญัติดังกล่าว  แสดงว่าในกรณีสั่งพักราชการตามมาตรา ๖๓(ข)  นั้น  เมื่อการพิจารณาหรือการสอบสวนปรากฏว่า  ผู้ถูกสั่งพักมิได้กระทำผิดแล้ว  ผู้บังคับบัญชาต้องสั่งให้กลับคืนตำแหน่งเดิม   หรือสั่งให้ออกจากราชการ  ส่วนกรณีสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา ๖๓(ก)  นั้น  กฎหมายไม่ได้บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาต้องสั่งใหม่ในเมื่อการพิจารณาหรือการสอบสวนได้ความว่าไม่มีความผิด  คงบัญญัติไว้ให้มีคำสั่งใหม่เฉพาะกรณีที่ศาลพิพากษาว่ามีความผิด  และกรณีที่การสอบสวนได้ความเป็นสัจที่จะต้องไล่ออกหรือปลดออกเท่านั้น  ฉะนั้น  ในกรณีสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา ๖๓(ก)  จึงเป็นการสั่งให้พ้นจากราชการไปเลย  และคำสั่งนั้นก็คงมีผลตลอดไป  เว้นไว้แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งให้ไล่ออกหรือปลอดออกตามความในมาตรา ๖๓(ก)  ตอนท้าน  อนึ่ง มาตรา ๖๓(ก)  ซึ่งมีผลให้ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการพ้นจากราชการตลอดไปในกรณีที่การพิจารณาหรือการสอบสวนปรากฏว่าผู้นั้นไม่ได้กระทำผิดนั้นก็ไม่ใช่ว่าเป็นการให้ออกจากราชการโดยไม่มีมูลที่จะสั่งให้ออกจากราชการ  แต่เป็นการสั่งให้ออกโดยมีมูลให้ออกจากราชการตามกฎหมายนั่นเอง  กล่าวคือ  ก่อนที่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา  ๖๓(ก)  ผู้บังคับบัญชาก็ได้พิจารราแล้วเห็นว่า  มีมลทินมัวหมอง  ส่วนการพิจารณาหรือการสอบสวนไม่ได้ความว่าผู้นั้นกระทำผิด  ก็ไม่ใช่เป็นข้อแสดงว่าผู้นั้นไม่มีมบทินหรือมัวหมอง  แม้แต่ในกรณีสั่งพักราชการโดยมีมลทินหรือความมัวหมองไม่ปรากฏชัด  เมื่อการพิจารณาหรือสอบสวนปรากฏว่าผู้นั้นไม่มีความผิด  กฎหมายก็ยังให้ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ออกจากราชการได้  เมื่อเห็นว่าผู้ถูกสั่งพักมีมลทินหรือมัวหมอง  และการให้เข้ารับราชการอีกจะเป็นการเสียหายแก่ราชการ  ฉะนั้น  ในคดีเรื่องนี้  แม้ผู้บังคับบัญชาจะมิได้มีคำสั่งภายหลังที่ศาลยกฟ้องคดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องแล้ว  ก็ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย  ศาลฎีกาได้พร้อมกับประชุมใหญ่พิจารณาแล้ว  เห็นว่าจำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์  โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย  คดีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยถึงปัญหาอื่นต่อไป
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

