แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดียักยอก โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำผิดเริ่มตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน2489 และต่อๆ มาจนถึงวันที่ 25 สิงหาคม2489 แต่โจทก์นำสืบว่าจำเลยทำผิดก่อนวันที่ 30 มิถุนายน 2489 ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่โจทก์สืบได้ย่อมต่างกับฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้เข้าหุ้นส่วนกันค้าฝิ่น โดยได้รับอนุญาตให้ตั้งร้านจำหน่ายฝิ่น โจทก์ 2 คนลงเงิน จำเลยลงแรงเป็นหุ้น จำเลยมีหน้าที่เป็นผู้จัดการซื้อและจำหน่ายฝิ่นรับมอบรักษาเงินและทรัพย์สินของหุ้นส่วน จำเลยได้รับมอบเงิน 15,000 บาท ไว้เพื่อดำเนินการ ต่อมาดูท่าทีจำเลยจัดการไม่เรียบร้อย ได้มีการตรวจสอบบัญชี ผลของการตรวจสอบถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2489 ทำให้โจทก์รู้สึกว่าจำเลยเจตนาทุจริตยักยอกเอาเงิน 15,000 บาท และกำไรของหุ้นส่วนไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียเริ่มตั้งแต่วันที่30 มิถุนายน 2489 ต่อ ๆ มาจนถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2489 ขอให้ลงโทษตามมาตรา 314, 319(3) กฎหมายลักษณะอาญา
ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องเพราะไม่ยืนยันชัดแจ้งว่า จำเลยกระทำผิดวันใด แม้จะฟังว่าฟ้องใช้ได้ข้อเท็จจริงที่โจทก์สืบได้ว่าทรัพย์สินของหุ้นส่วนขาดบัญชีไปก่อน 30 มิถุนายน 2489 จึงต่างกับฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ส่วนที่ฟ้องว่าจำเลยทำผิดระหว่าง 30 มิถุนายน ถึง 25 สิงหาคม 2489 โดยโจทก์ตรวจสอบบัญชีตั้งแต่มกราคมถึงมิถุนายน 2489 วันที่จำเลยกระทำผิดไม่ต่างกับฟ้อง พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นชี้ขาดข้อเท็จจริงแล้วว่า โจทก์นำสืบว่าทรัพย์สินของหุ้นส่วนซึ่งอยู่ในความรับผิดของจำเลยได้สูญหายขาดบัญชีไปก่อนวันที่ 30 มิถุนายน 2489 และศาลอุทธรณ์ชี้ขาดว่า โจทก์ตรวจสอบบัญชีตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2489 จึงอยู่ในเขตวันที่จำเลยทำผิด ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำผิดตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2489 ถึงวันที่25 สิงหาคม 2489 โจทก์ไม่ได้กล่าวหรือบรรยายในฟ้องว่า จำเลยทำผิดก่อนวันดังกล่าวนั้น ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาว่าผิดถูกประการใด
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ